<< Go Back

ศิลปะตะวันตก
             ศิลปะตะวันตก หมายถึง ศิลปกรรมของกลุ่มประเทศในยุโรป (ปัจจุบันรวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย) มีรากฐานมาจากศิลปะ ของอียิปต์และกรีก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมยุคโบราณของโลกและพัฒนาขึ้นมาภายใต้อิทธิพลของคริสต์ศาสนา เป็นต้นแบบของ ศิลปะสากลในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของยุโรปแบ่งอย่างกว้าง ๆ ได้เป็น 4 ยุค คือ
             1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic)
             2. ยุคโบราณ (Ancient Age)  
             3. ยุคกลาง (Middle Age)
             4. ยุคใหม่ (Modern Age)
1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic) ประมาณ 40,000 ปี – 4,000 ปี ก่อน ค.ศ.
             ศิลปะอียิปต์ (Egyptian Art)
             เรื่องราวอารยธรรมของอียิปต์ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน ค.ศ. เป็นยุคก่อน ประวัติศาสตร์ และก่อนราชวงศ์ (Pre- dynastic) ของอียิปต์ ชาวอียิปต์ได้สร้างศิลปวัฒนธรรมขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับปรัชญาในด้านคุณธรรมละตอบสนองความเชื่อ ว่าวิญญาณของคนตายจะกลับคืนสู่ร่างกายใหม่ จึงเป็นมูลเหตุของการทำมัมมี่ (mummy) หีบบรรจุศพทำด้วยหินร้างอาคารรูป ทรงพีระมิด (Pyramids) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่เมืองกีซาในกรุงไคโรภายในพีระมิดเป็นที่บรรจุพระศพกษัตริย์คูฟู (Khufu) ฐานพีระมิดยาวด้านละ 756 ฟุต สูง 481 ฟุต กินเนื้อที่ 32 ไร่ สร้างด้วยหินนักกว่าก้อนละ 2 ตัน จำนวน 2,500,000 ก้อน ประมาณว่าใช้กำลังคม 1,000,000 คน ผลัดกันสร้างทั้งกลางวัน และกลางคืนใช้เวลาราว 20 ปี จึงเสร็จ ภายในห้องพีระมิด นอกจากจะบรรจุพระศพของกษัตริย์แล้วยังเป็นที่เก็บทรัพย์สมบัติอันมีค่าผนังภายในตกแต่งด้วยภาพเขียนสีบรรยายด้วยอักษร โบราณ ทำให้ทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของชาวอียิปต์ชาวอียปต์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ได้เป็นอย่างดี
2. ยุคโบราณ (Ancient Age) ประมาณ 1,400 ปี ก่อน ค.ศ. –ค.ศ. 100
             ศิลปะตะวันออกใกล้ (Ancient Near Eastem Aft)
             อียิปต์พัฒนาอารยธรรมเจริญรุ่งเรื่องสุดขีดในลุ่มแม่น้ำไนล์ส่วนทางฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนดินแดนแถบ แม่น้ำไทกรีส และยูเฟรทีสได้แก่ดินแดนบางส่วนของประเทศอิหร่าน ซีเรีย จอร์แดนและซาอุดีอาระเบียในปัจจุบัน เรียกว่า แคว้นเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) หมายถึงดินแดนในลุ่มแม่น้ำสองสายชนชาติดังกล่าวมีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกัน ประเทศที่อยู่ในวัฒนธรรมนี้ได้แก่ สุเมเรียน บาบิโลเนียน อัสซิเรียน เปอร์เซีย
             ลักษณะศิลปกรรมของสุเมเรียนมีความแตกต่างจากศิลปกรรมอียิปต์ คือ อียิปต์ใช้หินเป็นวัสดุก่อสร้างส่วนสุเมเรียนใช้อิฐ เผาก้อนใหญ่ ๆ มาเรียงกันดังนั้นสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่มีอิฐเป็นโครงสร้างหลักสถาปัตยกรรมของสุเมเรียนที่รู้จักกันมากที่สุด คือวิหารใหญ่เรียกว่า ซิกูรัต (Zigurat) เป็นหอสูงแบบตึกระฟ้า มีทางเดินเป็นบันไดวนเป็นสถานที่สำหรับทำพิธีทางศาสนา
             ศิลปะบาบิโลน อยู่ช่วง 700 ปี ก่อน ค.ศ.
             มีสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมาก และเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคือสวนลอยแห่งบาบิโลนโดยสร้างสวนให้สูงจากพื้นดินใช้อิฐ ซ้อนกันขึ้นไปวางผังลดหลั่นกันและมีความสลับซับซ้อน ตามซุ้มประตูต่าง ๆ ประดับด้วยภาพสลักขนาดมหึมาปัจจุบันสวน แห่งนี้ถูกทับถมปรักหักพังไปหมดแล้วเหลือเฉพาะฐานรากบางส่วนเท่านั้น
             ศิลปะอัสซิเรียน อยู่ในช่วง 900 ปี ก่อน ค.ศ.
             ศิลปกรรมงานแกะสลักที่มีชื่อเสียง เป็นรูปสิงโตกำลังกัดเด็กหนุ่มพบในพระราชวังเมืองนิมรุดในอัสซิเรียงานชิ้นนี้ ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติซกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ประติมากรรมลอยตัวชิ้นสำคัญที่ติดตั้งตามทางเข้าพระราชวังมี ขนาดใหญ่โตเป็นรูปสิงโตมีปีก (Winged Lion) ส่วนงานสถาปัตยกรรมของอัสซิเรียนมีอาคารก่ออิฐเป็นโครงสร้างหลักเป็นรูป โค้งรับน้ำหนักและใช้อิฐและหินก่อเป็นกำแพงตกแต่งภายในด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังและกระเบื้องเคลือบเป็นรูปสิงโต
             ศิลปะเปอร์เซีย อยู่ในช่วง 1,000 ปีก่อน ค.ศ.
             อารยธรรมของเปอร์เซียมีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมที่มีการตกแต่งภายในอย่างสวยงาม มีงานประติมากรรมใช้ ในการตกแต่งสถาปัตยกรรม ได้แก่ เสาหินวัวคู่ ประดับพระราชวังที่เมืองเปอร์เซโปลิส (Persepolis)
             ศิลปะกรีก (Greek Art)
             ชาวกรีกเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์อินโด-ยูโรเปียนที่อพยพเคลื่อนย้ายลงสู่แหลมบอลข่าน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนกระทั่ง 2,000 ปี ก่อน ค.ศ. จึงได้ตั้งหลักที่เป็นประเทศกรีซในปัจจุบัน ประกอบด้วย 2 รัฐใหญ่ที่สำคัญคือเอเธนส์และสปาตา ชาวกรีกมี การศึกษาศิลปวิทยาจนมีความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ อักษรศาสตร์ ปรัชญาและการปกครองศิลปกรรมกรีกมีความเจริญ สูงสุดเป็นแบบฉบับในทางศิลปะของมนุษยชาติตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน
3. ยุคกลาง (Middle Age) ประมาณ ค.ศ. 300 – ค.ศ. 1300
             ความเจริญทางด้านศิลปะในยุคกลาง เป็นการสร้างสรรค์โดยวัดและคริสต์ศาสนิกชนซึ่งมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและ ศิลปวิทยา ศิลปะของคริสต์ศาสนาจึงเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวกับวัดคาทอลิกมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตาม แต่ละท้องถิ่นแต่ส่วนใหญ่สิ่งก่อสร้างจะมีขนาดเล็กลงนิยมสร้างด้วยหินและปูผิวด้วยอิฐสร้างสุสานด้วยการเจาะหินหน้าผา กลุ่มศิลปะที่อยู่ในยุคกลางได้แก่ ศิลปะโกติกสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ศิลปะบารอกและรอกโกโก
             ศิลปะโกติก (Gothic Art)
             ศิลปะโกติกนิยมแสดงเรื่องราวทางศาสนาในแนวเหมือนจริง (Realistic Art) ไม่ใช้สัญลักษณ์เหมือนศิลปะยุคก่อนาน สถาปัตยกรรมมีโครงสร้างทรงสูง มียอดหอคอยรูปทรงแหลมอยู่ข้างบนทำให้ตัวอาคารมีรูปร่างสูงระหงขึ้นสู่เพดานซุ้มประตู หน้าต่าง ช่องลมมีส่วนโค้งแปลกกว่าศิลปะแบบใด ๆ
             ศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance Art)
             สงครามครูเสดนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ยุโรปตะวันตกอย่างใหญ่หลวง ระบอบการปกครองแบบศักดินาหมดสิ้นไป แว่น
แคว้นต่าง ๆ เริ่มมีความเป็นอิสระ ศิลปินได้นำเอาแบบอย่างศิลปะชั้นสูงในสมัยกรีกและโรมันมาสร้างสรรค์ได้อย่างอิสระเต็มที่
งานสถาปัตยกรรมมีการก่อสร้างแบบกรีกและโรมันเป็นจำนวนมากลักษณะอาคารมีประตูหน้าต่างเพิ่มมากขึ้นประดับตกแต่ง
ภายในด้วยภาพจิตรกรรมและประติมากรรมอย่างหรูหราสง่างาม งานสถาปัตยกรรมที่ ยิ่งใหญ่ในสมัยนั้นฟื้นฟูศิลปวิทยา ได้แก่
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter) ในกรุงโรม เป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก วิหารนี้มีศิลปินผู้ออกแบบควบคุม
งานก่อสร้างและลงมือตกแต่งด้วยตนเองต่อเนื่องกันหลายคน เช่น โดนาโต บรามันโต (Donato Bramante ค.ศ. 1440 – 1514)
ราฟาเอล (Raphel ค.ศง 1483 – 1520) ไมเคิล แองเจลโล (Michel Angelo ค.ศ. 1475 – 1564) และโจวันนิ เบอร์นินี (Giovanni
Bernini ค.ศ. 1598 – 1680)
             งานจิตรกรรมและประติมากรรมในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ศิลปินสร้างสรรค์ในรูปความงามตามธรรมชาติ และความงามที่ เป็นศิลปะแบบคลาสสิกที่เจริญสูงสุด ซึ่งพัฒนาแบบใหม่จากศิลปะกรีกและโรมันความสำคัญของศิลปะสมัยฟื้นฟู มีความสำคัญ ต่อการสร้างสรรค์ศิลปะเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะเทคนิคการเขียนภาพ การใช้องค์ประกอบทางศิลปะ (Composition) หลักกาย วิภาค (Anatomy) การเขียนภาพทัศนียวิทยา (Perspective Drawing) การแสดงออกทางศิลปะมีความสำคัญในการพัฒนาชีวิต สังคม ศาสนาและวัฒนธรรมจัดองค์ประกอบภาพให้มีความงามมีความเป็นมิติ มีความสัมพันธ์กับการมองเห็นใช้เทคนิคการ เน้นแสงเงาให้เกิดดุลยภาพมีระยะตื้นลึก ตัดกันและความกลมกลืนเน้นรายละเอียดได้อย่างสวยงาม ศิลปินที่สำคัญในสมัยฟื้นฟู ศิลปวิทยาที่สร้างสรรค์งานไว้เป็นอมตะเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ได้แก่ เลโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ผู้เป็นอัจริยะทั้งใน ด้านวิทยาศาสตร์ แพทย์ กวี ดนตรี จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมผลงานที่มีชื่อเสียงของดาวินชี ได้แก่ ภาพอาหาร มื้อสุดท้ายของพระเยซู (The last Supper) ภาพพระแม่บนก้อนหิน (The Virgin on the Rock) ภาพพระแม่กับเซนต์แอน (The Virgin and St. Anne) และภาพหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มอันลึกลับ (mystic smile) ที่โด่งดังไปทั่วโลก คือ ภาพโมนาลิซา (Mona Lisa)
4. ยุคใหม่ (Modern Age) ค.ศ. 1800 - ปัจจุบัน
             ศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art) เริ่มขึ้นตอนปลายศตวรรษที่ 18 ในประเทศฝรั่งเศส สืบเนื่องจากความเจริญทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะอย่างขนานใหญ่ทั้งรูปแบบและจุดประสงค์ โดยเฉพาะสร้างสรรค์งาน จิตรกรรม ศิลปินยุคใหม่ต่างพากันปลีกตัวออกจากการยึดหลักวิชาการ (Academic) ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่มีรากฐานมาจากศิลปะกรีก และโรมัน มาใช้ความรู้สึกนึกคิดและความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคนอย่างอิสระแยกศิลปะออกจากศาสนาโดยสิ้นเชิงศิลปะจึง เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลอย่างแท้จริงใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างเต็มที่จึงทำให้เกิดรูปแบบศิลปะใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ดังจะได้กล่าวพอสังเขปดังนี้
             ศิลปะแบบนีโอคลาสสิก (Neo-Classic)
             นีโอคลาสสิกเป็นรูปแบบศิลปะที่อยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างสมัยใหม่กับสมัยเก่าภาพเขียนจะสะท้อนเรื่องราวทาง อารยธรรม เน้นความสง่างามของรูปร่างทรวดทรงของคนและส่วนประกอบของภาพ มีขนาดใหญ่โตแข็งแรง มั่นคง ใช้สี กลมกลืนมีดุลยภาพของแสงและเงาที่งดงาม
             ศิลปะแบบโรแมนติก (Romanticism)
             ศิลปะแบบโรแมนติก เป็นศิลปะรอยต่อจากแบบนีโอคลาสสิก แสดงถึงเรื่องราวที่ตื่นเต้น เร้าใจ สะเทือนอารมณ์แก่ผู้ พบเห็น ศิลปินโรแมนติกมีความเชื่อว่าศิลปะจะสร้างสรรค์ตัวของมันเองขึ้นได้ด้วยคุณค่าทางอารมณ์ของผู้ดูและผู้สร้างสรรค์ ศิลปินที่สำคัญของศิลปะโรแมนติก ได้แก่ เจริโคต์ (Gericault) ผลงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงมาก คือ การอับปางของเรือเมดูซา (Raft of the Medusa) เดอลาครัว (Delacroix) ชอบเขียนภาพที่แสดงความตื่นเต้น เช่น ภาพการประหารที่ ทิชิโอ ความตายของ ชาดาร์นาปาล การฉุดคร่าของนางรีเบกกา เป็นต้น ฟรานซิสโก โกยา (Francisco Goya) ชอบเขียนภาพแสดงการทรมานการฆ่า กันในสงคราม คนบ้า ตลอดจนภาพเปลือย เช่น ภาพเปลือยของมายา (Maya the nude) เป็นต้น
             ศิลปะแบบเรียลิสม์ (Realism)
             ศิลปินกลุ่มเรียลิสม์มีความเชื่อว่าความจริงทั้งหลายคือความเป็นอยู่จริง ๆ ของชีวิตมนุษย์ ดังนั้นศิลปินกลุ่มนี้จึงเขียนภาพ ที่เป็นประสบการณ์ตรงของชีวิต เช่น ความยากจน การปฏิวัติความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยการเน้นรายละเอียดเหมือนจริงมาก ที่สุด ศิลปินสำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่ โดเมียร์ (Daumier) ชอบวาดรูปชีวิตจริงของความยากจน คูร์เบต์ (Courbet) ชอบวาดรูปชีวิต ประจำวันและประชดสังคม มาเนต์ (Manet) ชอบวาดรูปชีวิตในสังคมเช่นการประกอบอาชีพ
             ศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism)
             กลุ่มศิลปินอิมเพรสชันนิสม์เริ่มเบื่อรูปแบบที่มีหลักความงามแบบเหมือนจริงตามธรรมชาติ เปลี่ยนเป็นสิ่งเชื่อมโยง เน้น ด้วยแสง สี บรรยากาศ ศิลปินที่สำคัญของกลุ่มอิมเพรสชันนิสม์ ได้แก่ โคลด โมเนต์ (Claude Monet) ซิสเลย์ (Sisley) เดอกาส์ (Degas ปิซาโร (Pissaro มาเนต์ (Manet) เรอนัว (Renoir)

ที่มา :http://www.maechai.ac.th/art/arthistory.htm

<< Go Back