<< Go Back
เนื้อเยื่อ          ในร่างกายของสัตว์ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ชั้นต่ำลงไปเช่นแมลง ต่างประกอบด้วยเนื้อเยื่อพื้นฐาน 4 ประเภท เนื้อเยื่อเหล่านี้ รวมตัวกันเป็นโครงสร้างและอวัยวะต่างๆ กัน เนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบไปด้วยชั้นของเซลล์ที่ปกคลุม พื้นผิวของอวัยวะต่างๆ เช่น พื้นผิวของผิวหนัง และบุผิวทางเดินอาหาร มีหน้าที่ปกป้องจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หลั่งสารและดูดซึมสาร เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ทำหน้าที่เป็นโครงร่างยึดส่วนต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น เลือด หรือ กระดูก เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (Muscular tissue) เซลล์กล้ามเนื้อประกอบด้วยฟิลาเมนต์ (เส้นใย) หลายเส้นที่หดตัวได้ สามารถเคลื่อนที่ผ่านกันและเปลี่ยนขนาดของ เซลล์ได้ เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อแบ่งได้ออกเป็น 3 ประเภทคือ กล้ามเนื้อเรียบ (visceral or smooth muscle) พบอยู่ที่ผนังของอวัยวะภายใน, กล้ามเนื้อโครงร่าง (skeletal muscle) ซึ่งยึดอยู่กับกระดูก ทำหน้าที่ในการเคลื่อนไหว และกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) พบได้ที่ หัวใจ เนื้อเยื่อประสาท (Nervous tissue) ประกอบด้วยเซลล์ที่รวมตัวกันเป็นสมอง (brain) , ไขสันหลัง (spinal cord) , และระบบประสาทนอกส่วนกลาง (peripheral nervous system)

          เนื้อเยื่อสัตว์ เป็นเนื้อเยื่อที่มีอยู่ในร่างกายทั่ว ๆ ไป ของสัตว์ชั้นสูงต่าง ๆ ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ) ตามปกติแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ
           เนื้อเยื่อบุผิว (Epithelial tissue or Epithelium) 
           เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ( Connective tissue )
           เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (Muscular tissue)
           เนื้อเยื่อประสาท ( Nervous tissue )

รูปที่ 4.13 เนื้อเยื่อสัตว์
ที่มา   http://www.il.mahidol.ac.th/course/ap_biology/Chapter4/Part1.html

          เนื้อเยื่อบุผิว (Epithelial tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่ปกคลุมผิวนอกร่างกายหรือผิวท่ออวัยวะภายใน มีหน้าที่รับความรู้สึก เช่น ที่ผิวหนัง เกี่ยวกับการดูดซึม เช่น เยื่อบุผิวทางเดินอาหาร การสร้างสาร และการหลั่งสาร เช่น ที่ต่อมน้ำลายและต่อมเหงื่อ เป็นต้น

เซลล์เยื่อบุผิวมีลักษณะแตกต่างกัน 3 แบบ คือ
           รูปร่างแบนบาง (squamous) 
           รูปลูกบาศก์ (cubic)
           ลักษณะเป็นแท่งหรือรูปทรงสูง (column)

          กลุ่มเซลล์เหล่านี้จะจัดเรียงตัวกันบนฐาน (basement) ชั้นเดียว (simple epithelium) หรือหลายชั้น (stratified epithelium) และอาจพบลักษณะการจัดเรียงตัวของเซลล์หลายชั้นเทียม (pseudo stratified epithelium) คือ เซลล์เรียงตัวชั้นเดียวอยู่บนฐาน แต่มองเห็นเหมือนเป็นหลายชั้น เนื่องจากเซลล์มีความสูงแตกต่างกัน เช่น เยื่อบุผิวที่หลอดลม และอาจพบเยื่อบุผิว แบบหลายชั้นยืดหยุ่น (transitional epithelium) ซึ่งเป็นเยื่อบุผิวที่จัดเรียงตัวหลายชั้น แต่เนื่องจากเซลล์มีรูปร่างไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับการยืดหดตัวของอวัยวะ พบที่ผนังด้านในของกระเพาะปัสสาวะ โดยเมื่อกระเพาะปัสสาวะว่าง จะอยู่ในสภาพหดตัว เซลล์มีรูปร่างเหลี่ยมลูกบาศก์และซ้อนกันหลายชั้น เมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม จะอยู่ในสภาพขยายตัว เซลล์มีรูปร่างแบนบางและเรียงตัวน้อยชั้น นอกจากนี้ อาจพบ ขนเซลล์ (cilia) เซลล์ต่อมหลั่งสารต่างๆ ที่เซลล์เยื่อบุผิวด้วย เช่น เยื่อบุผิวภายในกล่องเสียงบางส่วน และผิวด้านบนของเพดานอ่อน (soft plate) ทางด้านช่องจมูก เป็นต้น

          เยื่อบุผิวเจริญเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อชั้นนอก(ectoderm) ชั้นกลาง (mesoderm) หรือชั้นใน (endoderm) ก็ได้ทั้งสิ้น ถ้าเป็นมาจากเนื้อเยื่อชั้นนอกมักจะปกคลุมร่างกาย เช่น ผิวหนัง ถ้ามาจากเนื้อเยื่อชั้นใน มักจะบุภายในของอวัยวะ ที่เจริญเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อชั้นใน เช่น เยื่อบุทางเดินอาหาร ถ้ามาจากเนื้อเยื่อชั้นกลาง ก็มักจะห่อหุ้ม หรือบุอวัยวะที่มาจากเนื้อเยื่อชั้นกลาง เช่น ห่อหุ้มหรือบุอวัยวะขับถ่ายและสืบพันธุ์

รูปที่ 4.14 เนื้อเยื่อบุผิวประเภทต่างๆ ในร่างกายสัตว์
ที่มา: Campbell and Reece, 2002.

          เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) เป็นเนื้อเยื่อที่พบแทรกอยู่ทั่วไปในร่างกาย ทำหน้าที่ ยึดเหนี่ยวหรือพยุงอวัยวะ ให้คงรูป อยู่ได้ลักษณะของเนื้อเยื่อชนิดนี้ คือตัวเซลล์และเส้นใยกระจายอยู่ ในสารระหว่างเซลล์ที่เรียกว่า เมทริกซ์ (matrix) ซึ่งเส้นใยที่พบ ได้แก่
          - เส้นใยคอลลาเจน(collagen fiber)
          - เส้นใยอิลาสติก (elastic fiber)
          - เส้นใยร่างแห(reticular fiber

เนื้อเยื่อเกี่ยวพันแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 

          1. เนื้อเยื่อเกี่ยวพันสมบูรณ์ (connective tissue proper)
          2. กระดูกอ่อน (cartilage)
          3. กระดูกแข็ง(bone)
          4. เลือด (blood)

1. เนื้อเยื่อเกี่ยวพันสมบูรณ์ (connective tissue proper)

ลักษณะเมทริกซ์เป็นเส้นใยกระจายอยู่แตกต่างกัน ทำให้แบ่งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดนี้เป็น 2 ประเภทคือ

           เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดโปร่งบาง (loose connective tissue) เป็นเนื้อเยื่อมีเส้นใยเรียงตัว ไม่เป็นระเบียบ ชนิดที่พบมาก ได้แก่คอลลาเจนและ อิลาสติก สำหรับเส้นใยร่างแหพบเล็กน้อย
เซลล์ที่พบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ชนิดโปร่งบาง ได้แก่ 
- เซลล์ไฟโบรบลาสต์(fibroblast)
- เซลล์แมโครฟาจ (macrophage) 
- เซลล์แมสต์ (mast cell) 
- เซลล์พลาสมา (plasma cell) 
- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดแน่นทึบ (dense connective tissue)
- เนื้อเยื่อไขมัน(adipose tissue) เซลล์ประเภทนี้พบอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ 
           เ นื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดแน่นทึบ พบปริมาณเส้นใยมากอยู่ติดกันแน่นทึบ ทำให้มีช่องว่าง ระหว่างเซลล์น้อยแบ่งเป็น 3 ลักษณะคือ
- ชนิดเกี่ยวพันทึบ พบตามเอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) และเอ็นยึด (ligament) ประกอบด้วยเส้นใย คอลลาเจนเรียงตัว หนาแน่นสีขาว 
- ชนิดยืดหยุ่น (elastic connectivetissue)พบที่ผนังหลอดเลือด กล่องเสียง หลอดลม และปอด ประกอบด้วยเส้นใยอิลาสติก สีเหลือง ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี 
- ชนิดร่างแห (reticularconnective tissue) ตัวเซลล์เป็นเซลล์ร่างแห (reticular cell) มีแขนง แยกออกไปติดต่อ กับเซลล์ข้างเคียง

รูปที่ 4.15 เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (ลูกศร) 
ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดแน่นทึบ

รูปที่ 4.16 เซลล์แมโครฟาจ (ลูกศร) ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน

รูปที่ 4.17 เซลล์แมสต์ (ลูกศร)

รูปที่ 4.18 เซลล์พลาสมา (ลูกศร)

รูปที่ 4.19 เนื้อเยื่อไขมันและนิวเคลียส 
ของเซลล์ไขมัน (ลูกศร)

รูปที่ 4.20 เซลล์ร่างแห (ลูกศร) เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดร่างแห

รูปที่ 4.21 เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดโปร่งบาง

รูปที่ 4.22 ลักษณะเส้นใยอีลาสติก (สีชมพู)

รูปที่ 4.23 ลักษณะเส้นใยคอลลาเจน (สีฟ้า) และเซลล์ไฟโบรบาลต์(สีแดง)

รูปที่ 4.24 เนื้อเยื่อเอ็นกล้ามเนื้อ

2. กระดูกอ่อน (cartilage)

          พบอยู่ตามส่วนของโครงกระดูก โดยเฉพาะบริเวณที่กระดูกมีการเสียดสีกัน ประกอบด้วย เมทริกซ์ ซึ่งเป็นสารพวกมิว โคพอลิแซ็กคาไรด์ ชนิดคอนโดรมิวคอยด์ (condromucoid) มีลักษณะคล้าย วุ้นเซลล์กระดูกอ่อน เรียกว่า คอนโดรไซต์ (chondrocyte) มีรูปร่างกลมหรือ รูปไข่ อาจพบ 1-4 เซลล์ เรียงตัวอยู่ในช่องว่างที่เรียกว่า ลาคูนา (lacuna) กระดูกอ่อนสามารถพบได้ที่ใบหู ฝาปิดกล่องเสียง (epiglottis)กล่องเสียง(trachea) กระดูกอ่อนกั้นระหว่าง กระดูกสันหลัง แต่ละข้อ (intervertebral disc) เป็นต้น

รูปที่ 4.23 เซลล์กระดูกอ่อน

ที่มาhttp://www.usc.edu/hsc/dental/ghisto/cart/index.html

3. กระดูกแข็ง(bone)

          ประกอบด้วยเซลล์กระดูกที่เรียกว่า ออสทีโอไซต์ (osteocyte) อยู่ในช่องลาคูนา โดยเซลล์กระดูก จัดเรียงตัวเป็น วงรอบช่อง ฮาเวอร์เชียน (harversian canal) ที่มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงเซลล์กระดูกและเรียกลักษณะ การเรียงตัวของ เซลล์กระดูกนี้ว่า ระบบฮาร์เวอร์เชียน (harversian system) ช่องฮาร์เวอร์เชียนสามารถติดต่อกับ ช่องลาคูนาหรือระหว่าง ช่องลาคูนาด้วยกันเองโดยผ่านช่องเล็ก ๆ ที่เรียกว่า คานาลิคูไล (canaliculi) สารระหว่างเซลล์กระดูก ประกอบด้วยแคล เซียมและฟอสเฟตเป็นองค์ประกอบสำคัญ

รูปที่ 4.24 เซลล์กระดูก
ที่มา http://www.meddean.luc.edu/

4. เลือด (blood)

ประกอบด้วย

 น้ำเลือด (plasma)
 เซลล์เม็ดเลือด ซึ่งแบ่งเป็น 
          - เซลล์เม็ดเลือดแดง (red blood cell or erythrocyte) เซลล์เม็ดเลือดแดง มีรงควัตถุฮีโมโกลบิน (hemoglobin)ทำหน้าที่ ลำเลียงออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
          - เซลล์เม็ดเลือดขาว (white blood cell or leucocyte) เซลล์เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่ทำลาย
สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย มี 2 ประเภท คือ 
 พวกที่มีเม็ดแกรนูล (granule) พิเศษในไซโทพลาสซึม (granulocyte) สามารถย้อมติดสี ได้ดี เซลล์เม็ดเลือดขาวในกลุ่มนี้ ได้แก่นิวโทรฟิล (neutrophil) เซลล์มีนิวเคลียส 2-6 พู โอซิโนฟิล (eosinophil) เซลล์มีนิวเคลียสไม่เกิน 3 พู และเบโซฟิล (basophil) เซลล์มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ แยกเป็นพูรูปตัวเอส (s) หรือรูปร่างไม่แน่นอน
 พวกที่ไม่มีเม็ดแกรนูลในไซโทพลาสซึม (agranulocyte) ได่แก่ ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) เซลล์มีนิวเคลียสกลมมี ขนาดใหญ่ ขนาดใกล้เคียงกับเซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์โมโนไซต์ (monocyt) นิวเคลียสมีขนาดใหญ่ รูปไต หรือรูปรี เกล็ดเลือด (thrombocyte) เกล็ดเลือด เป็นชิ้นส่วนของไซโทพลาซึม (cytoplasm) ของเซลล์ชนิดหนึ่ง ในไขกระดูกที่แตก ออกจากกัน เข้ามาอยู่ในกระแสเลือดไม่มีสี และไม่มีนิวเคลียส ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การแข็งตัวของเลือด

รูปที่ 4.25 องค์ประกอบของเลือด

รูปที่ 4.26 เซลล์เม็ดเลือดแดง

รูปที่ 4.27 เซลล์นิวโทรฟิล (ลูกศร)

   รูปที่ 4.28 เซลล์โอซิโนฟิล(ลูกศร)  

รูปที่ 4.29 เซลล์เบโซฟิล  (ลูกศร)

รูปที่ 4.30 เซลล์โมโนไซต์ (ลูกศร)

รูปที่ 4.31 เซลล์ลิมโฟไซต์ (ลูกศร)

ที่มา www.il.mahidol.ac.th/course/ap_biology/Chapter6/index.htm

          เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยสามารถหดตัวได้ เซลล์กล้ามเนื้อ มีรูปร่างยาวมัก เรียกว่า ใยกล้ามเนื้อ (myofibril) แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
           กล้ามเนื้อลาย (skeletal or striated muscle) มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก เรียงตัวขนานกัน มีลาย แต่ละเซลล์มี หลายนิวเคลียส
           กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) เซลล์มีรูปร่างยาวหัวท้ายแหลมแต่ละเซลล์มีนิวเคลียส 1 อัน อยู่กลางเซลล์ ไม่มีลายตามขวาง
           กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) เซลล์มีลายคล้ายกล้ามเนื้อลาย พบนิวเคลียส 1-2 อัน อยู่กลางเซลล์ และเซลล์มีแขนงเชื่อมต่อกัน

รูปที่ 4.32 เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อในร่างกายสัตว์
ที่มา: Campbell and Reece, 2002

          เนื้อเยื่อประสาท ประกอบด้วย

           เซลล์ประสาท (neuron) ทำหน้าที่รับส่งกระแสประสาท 
           เซลล์เกี่ยวพันประสาท (neuroglia) มีหน้าที่สนับสนุนการทำงานของเซลล์ประสาท เช่นยึดเหนี่ยวหรือค้ำจุน เซลล์ประสาท ซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดขึ้นกับเซลล์ประสาท เป็นต้น

เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ ประกอบด้วย 
ตัวเซลล์ ซึ่งอยู่ในชั้นสีเทา (grey matter) ของระบบประสาทไขสันหลังและระบบประสาท ส่วนกลาง เซลล์ประสาทมีลักษณะกลมขนาดใหญ่ มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลาง 
 แขนงประสาท แบ่งเป็น 2 พวก คือ
เดนไดรต์ (dendrite) ที่เป็นแขนงประสาทขนาดสั้นทำหน้าที่รับกระแสประสาท (impulse) เข้าสู่ตัวเซลล์ 
- แอกซอน(axon) เป็นแขนงประสาทลักษณะยาวไม่มีแขนงแตกออกใกล้กับตัวเซลล์แอกซอน ทำหน้าที่นำ กระแสประสาทออกจากตัวเซลล์

รูปที่ 4.33 โครงสร้างของเซลล์ประสาท

http://www.emc.maricopa.edu/faculty/

รูปที่ 4.34 กลุ่มเซลล์ประสาท

http://www.gen.umn.edu/


http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/BP1/Program/chapter4/p3.html

<< Go Back