<< Go Back
สาเหตุของอุบัติเหตุในการจราจรทางบก
    
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในการจราจรทางบกนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน จากสถิติของกรมทางหลวง พบว่า สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ ทางหลวงมากที่สุด คือการขับรถเร็ว  รองลงมาคือการขับรถระยะกระชั้นชิด    อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในการจราจรทางบกนั้น มักเกิดขึ้น จาก สาเหตุที่สำคัญ 3 ประการดังนี้ 
1. บุคคล              
2. สิ่งแวดล้อม                    
3. กฎหมาย 
สาเหตุเกิดจากผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะ ผู้โดยสาร คนเดินทาง หรือสัตว์เลี้ยงต่างๆ ซึ่งมีสาเหตุดังนี้
         1. สาเหตุจากผู้ขับยวดยานพาหนะ
         1.1 มีความบกพร่องทางด้านร่างกาย เช่น ร่างกายอ่อนเพลีย ง่วงนอน หรือหลับในสุขภาพไม่ดี มีโรคประจำตัว โรคลมชัก ตาบอดสี
          ตาพร่า น้ำตาลในเลือดต่ำ 
         1.2 มีความบกพร่องทางด้านจิตใจและอารมณ์ เช่น มีความกลัดกลุ้มใจ วิตกกังวล อารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว มีความตึงเครียด
         ทางอารมณ์ 
         1.3 ขาดความรู้ความชำนาญ และประสบการณ์ในการใช้ถนน เช่น ขาดความรู้เรื่องความเร็วกับรถ คาดคะเนความเร็ว หรือกะ
        ระยะทางไม่ถูกต้อง ไม่มีความรู้ความชำนาญ ในเรื่องลักษณะของยวดยานที่ใช้ขับ ไม่รู้กฎจราจร เป็นต้น 
         1.4 ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือข้อบังคับ เช่น ขับรถเร็ว ขับรถตัดหน้ารถอื่นระยะกระชั้นชิด ขับรถล้ำช่องทางเดินรถ ขับรถแซงซ้าย
         หรือแซงขวาในที่คับขัน ขับรถตามหลังคนอื่นอย่างกระชั้นชิด ฝ่าฝืนป้ายหยุดขณะออกจากทางร่วม ขับรถย้อนศรทางเดินรถ ขับรถฝ่าฝืน
         เครื่องหมายจราจร หยุดรถโดยกระชั้นชิด ฯลฯ 
         1.5 ไม่รู้จักป้องกันตนเอง เช่น ขับรถด้วยความประมาท ขาดความระมัดระวัง ความเร่งรีบในการเดินทาง เสพยากระตุ้นประสาท
          ดื่มสุราขณะขับรถ ฯลฯ สำหรับเรื่องการดื่มสุรานั้น จากสถิติของสถาบันนิติเวชวิทยา กรมตำรวจ ปี พ.ศ. 2532 พบว่าผู้เสียชีวิตด้วย
          อุบัติเหตุจากการจราจร มีประวัติการดื่มสุราจำนวน 288 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 77.12 
         2. สาเหตุจากผู้โดยสาร  คนเดินเท้า  หรือสัตว์เลี้ยง 
         2.1 การขาดความระมัดระวัง เช่น ผู้โดยสารขึ้นหรือลงรถโดยไม่ระมัดระวัง ในการปิด-เปิดประตูรถ เดินถนนโดยไม่ระมัด ระวังยวดยาน
         วิ่งตัดหน้ารถ การวิ่งเล่นบนถนน ลื่นหกล้ม ลังเลใจในการข้ามถนน ฯลฯ 
         2.2 การไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร เช่น ห้อยโหนรถโดยสารรถประจำทาง ไม่ขึ้นหรือลงขณะรถหยุด หรือที่ป้ายจอด ไม่ข้ามถนนตรง
         ทางข้าม, สัญญาณ หรือสะพานลอย ไม่เดินถนนตามบาทวิถีหรือทางเท้า 
         2.3 ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น ข้ามถนนโดยออกจากหน้า หรือท้ายรถขณะที่รถยังจอดอยู่ สัตว์เลี้ยงเดินข้ามถนน หรือวิ่งตัดหน้ารถ ฯลฯ 
         2.4 ความไม่สมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจ เช่น สภาพร่างกายที่อ่อนเพลียการดื่มสุราขณะเดินถนน เป็นต้น
สาเหตุจากสิ่งแวดล้อม  ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ สภาพของรถ สภาพถนนและดินฟ้าอากาศ
1. สาเหตุจากสภาพของรถ
        
1.1 ยางระเบิดหรือยางแตก ทำให้รถเสียการทรงตัว พลิกคว่ำได้ง่าย โดยเฉพาะรถที่กำลังแล่นด้วยความเร็วสูง และถนน ลื่น
         1.2 เบรกแตก เบรกลื่น ทำให้รถไม่สามารถหยุดหรือชะลอความเร็วลงได้ตามความต้องการ
         1.3 เพลาหลุดหรือเพลาขาด ทำให้รถหมดกำลังในการขับเคลื่อน รถจะไม่แล่น แม้ว่าจะเหยียบคันเร่งอย่างไรก็ตาม ทำให้ยากแก่
         การควบคุม ความเร็ว และง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุ
         1.4 คันส่งหลุด ทำให้พวงมาลัยใช้การไม่ได้ ไม่สามารถควบคุมรถได้
         1.5 อุปกรณ์ประจำรถชำรุดหรือขัดข้อง เช่น ไม่มีไฟหน้า-หลัง ไฟใหญ่มีข้างเดียวหรือไม่มีเลย ไฟเลี้ยวชำรุดไม่ได้ซ่อม
        แซมหรือ แก้ไข พวงมาลัยสั่นขณะขับ เป็นต้น
         1.6 การเปลี่ยนแปลงสภาพรถ เช่น การเพิ่มแรงเครื่องทำให้ผู้ขับขี่เกิดความคะนองและขับรถเร็ว การแปลงสภาพรถตาม
         ความพอใจ โดยไม่คำนึงถึงสภาพรถที่ได้รับการออกแบบมา
2. สาเหตุจากบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ สภาพถนนและสภาพแสงสว่าง
            2.1 บริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ ทางแยก ทางโค้ง ทางตรง ทางเบี่ยงสะพาน วงเวียน ทางตัดทางรถไฟ ทางลาดชัน/เนินเขา ทางเข้าออกทางด่วน ทางเชื่อมโยงทางแยก ทางเชื่อมอาคารที่พักอาศัย ฯลฯ ซึ่งบริเวณที่มักเกิดเหตุบ่อยที่สุดคือ ทางตรง โดยสภาพเส้นที่ดีเรียบ มักทำให้ผู้ขับขี่ขาดความระมัดระวังและขับรถด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้จะพบว่าถนน 3 ช่องทางจะเกิดอุบัติเหตุมากกว่าถนน 2 ช่องทาง และถนน 4 ช่องทาง และถนนสี่แยกจะอันตรายกว่าสามแยก
            2.2 สภาพถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ มีโคลนตม มีเครื่องกีดขวางมากๆ หรือถนนที่แคบ ถนนที่ลื่น มีส่วนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ขึ้นได้
           2.3 สภาพแสงสว่างบนถนน เช่น แสงสว่างที่ส่องจากรถคันที่สวนมาโดยการเปิดไฟสูงและมีความสว่างสูง ทำให้ตามัวมอง ไม่ชัด เจน หรือไม่มีไฟส่องสัญญาณทางแยก บนท้องถนนมืดไม่มีไฟฟ้า ไม่มีแสงสว่าง ทำให้มองไม่เห็นทาง หรือมอง ไกลไม่ได้ ย่อมเป็นอันตรายต่อการขับรถ อย่างไรก็ตามแสงสว่างในเวลากลางวัน หรือความสว่างของถนนก็มักทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงกว่าเวลากลางคืน แต่ความรุนแรงจะเกิดในเวลากลางคืนมากกว่า
3. สาเหตุจากดินฟ้าอากาศ
       
3.1 ฝนตกหนัก น้ำท่วม ทำให้ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นหล่มโคลน ถนนลื่น ทำให้รถตกถนน พลิกคว่ำ
        3.2 การเกิดพายุหรือหมอกลงจัด ทำให้มีควันปกคลุมมองไม่เห็นทาง เกิดอุบัติเหติได้ง่าย
        3.3 พายุหิมะ ในต่างประเทศอาจมีพายุหิมะ ทำให้ถนนลื่นมองไม่เห็นทาง
        3.4 สภาพดินฟ้าอากาศที่ดี อุบัติเหตุมักเกิดจากสภาพดินฟ้าอากาศที่ดีเสมอ ทั้งนี้เพราะผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูง
       และขาดความ ระมัดระวังอันตราย
สาเหตุจากกฎหมาย  กฎหมายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุ ดังนี้
          1. การขาดการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนทุกคนทราบกฎระเบียบ ข้อบังคับและบทลงโทษ ในการฝ่าฝืนกฎต่างๆ
          ทำให้ประชาชนขาดจิตสำนักและฝ่าฝืนกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งมีผลให้เกิดอุบัติเหตุได้ 
          2. บทลงโทษหรือค่าปรับยังไม่เหมาะสม ทำให้มีการฝ่าฝืนกำจราจร หรือกฎระเบียบต่างๆ อยู่เสมอ 
          3. การที่กฎหมายมิได้กำหนดเพศ อายุสูงสุดของผู้ขับขี่ รวมทั้งการศึกษาขั้นต่ำของผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะ ถึงแม้ว่าผู้ขับขี่จะสอบผ่าน
        และได้รับใบอนุญาตขับขี่มาแล้ว ก็อาจทำผิดกฎจราจร และทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ 
          4. การขากการกวดขัน จับกุม หรือยังไม่จริงจังหรือเข้มงวดในการพิจารณาดำเนินคดีหรือจับกุมผู้กระทำผิดเป็นสาเหตุให้ขับรถ
        หรือใช้รถใช้ถนนอย่างเสรีตามอำเภอใจซึ่งมักทำให้เกิดอุบัติเหตุ

การป้องกันอุบัติเหตุในการจราจรทางบก
อุบัติเหตุในการจราจรทางบก สามารถป้องกันได้ดังต่อไปนี้
                        1.ด้านบุคคล         2.  ด้านสิ่งแวดล้อม        3.  ด้านกฎหมาย
การป้องกันด้านบุคคล  การป้องกันอุบัติเหตุในการจราจรทางบกด้านบุคคลนั้น ควรพิจารณาในเรื่องสุขภาพ การศึกษา และความ ปลอดภัยในการขับขี่ การโดยสาร และการเดินเท้า ซึ่งมีวิธีการป้องกันดังต่อไปนี้ 
          1. เรื่องสุขภาพ ผู้ขับขี่รถ ผู้โดยสารและผู้เดินเท้า ควรมีสภาพร่างกาย และจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ และเป็นปกติอยู่เสมอ ทั้งในช่วงก่อนเดินทาง ขณะเดินทาง และหลังการเดินทาง สำหรับผู้ขับขี่รถ จะต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคของระบบการไหลเวียนโลหิตโรคของต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน โรคคอพอกเป็นพิษ ไม่ควรขับรถ ผู้ขับขี่ต้องมีความสามารถในการได้ยินเสียงต่างๆ ชัดเจน หากสายตาสั้น ต้องสวมแว่นตลอดเวลาที่ขับรถ หากตาบอดสี ตาเหล่ หรือเห็นภาพซ้อนกัน ไม่ควรขับรถ นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคกระดูกสันหลังอย่างแรง เช่น วัณโรค หรือโรคสันหลังแข็ง ไม่ควรขับรถในระหว่างเป็นโรค เมื่อโรคได้ทุเลาลง และไม่มีความผิดปกติ หรือพิการรุนแรง ก็อาจขับรถต่อไปได้ และผู้ที่พิการถูกตัดขาข้างหนึ่ง หรือนิ้วหายไปมากกว่า 3 นิ้ว ก็ไม่ควรขับรถเช่นเดียวกัน ส่วนสภาพทางจิตใจนั้น ผู้ขับขี่ควรคุมอารมณ์ และจิตใจไว้ได้ มีสติสัมปชัญญะเสมอ ในการขับรถ หากมีอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอน หรือมีความวิตกกังวลใจ ตื่นเต้น กระวนกระวายใจ มีอารมณ์เสียเกิดขึ้นบ่อยๆ มีความเครียด มีโรคทางจิต ทางประสาท ก็ไม่ควรขับรถ เพราะจะขาดสมาธิในการขับรถ และอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ง่าย  สำหรับผู้โดยสารยานพาหนะ และผู้เดินเท้า ก็ควรรักษาสุขภาพให้ดีทั้งทางกาย และจิตใจ เพราะหากมีความผิดปกติของร่างกาย และจิตใจ ก็จะทำให้ประสบอุบัติเหตุได้ง่าย เช่นเดียวกัน 
           2. การศึกษา การป้องกันอุบัติเหตุที่สำคัญประการหนึ่งคือ การศึกษาหาความรู้และการถ่ายทอด หรือให้ความรู้แก่ทุกคน ในเรื่อง ความ ปลอดภัยในการจราจร การจัดการเรียนการสอนสวัสดิศึกษา การอบรมมารยาทในการขับขี่ยวดยาน แก่ผู้ใช้ยวดยาน ผู้โดยสาร และผู้เดินเท้า การแนะนำประชาชน ผู้ใช้รถใช้ถนน ให้รู้จักระมัดระวังในการเดินทาง ขณะสภาพดินฟ้าอากาศผิด ปกติ สำหรับผู้ขับขี่รถ จะต้องเรียนรู้ เรื่องเกี่ยวกับตัวรถ สภาพการใช้งาน เรียนรู้วิธีการขับขี่ เส้นทางการเดินทาง เรียนรู้มารยาท และกฎการจราจรด้วย 
           3. ความปลอดภัยในการขับขี่ยวดยานพาหนะ การขับขี่ยวดยานพาหนะไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถจักรยาน รถจักรยานยนต์ รถบรรทุก หรือรถประจำทางก็ตาม ผู้ขับขี่จะต้องปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัย ดังนี้ 
          3.1 ต้องได้รับใบอนุญาตขับรถก่อนการใช้รถ (ผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์  ผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะต้องมีอายุ 25 ปีบริบูรณ์ และผู้ขับขี่รถจักรยาน ต้องมีอายุ 13 ปีบริบูรณ์) ซึ่งผ่านการทดสอบจากเจ้าหน้าที่ขนส่ง 
          3.2 การตรวจสภาพของรถทุกครั้งก่อนที่จะนำออกไปใช้ควรตรวจสอบให้เรียบร้อย เช่น ปริมาณน้ำมัน ตรวจหม้อน้ำรั่ว หรือมีน้ำในหม้อน้ำให้เพียงพอ สายพาน น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก ยางรถ (อาจเก่าเกินไปกระด้างหรือดอกยางหมด) เบรกของรถจักรยานทั้งล้อหน้าและล้อหลัง
          3.3 ควรวางแผนการขับรถ วางแผนการใช้เส้นทาง วางแผนขับรถอย่างสบายๆ ไม่รีบร้อน ตรวจสอบ หรือกำหนดล่วงหน้า ถึงจุดจอดรถ จุดจอดพัก จุดเติมน้ำมัน หากต้องเดินทางระยะไกล หรือบริเวณทางด่วน 
          3.4 แต่งกายให้รัดกุม และใช้สีที่มองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่ขับขี่รถจักรยาน และรถจักรยานยนต์ การขับรถไปใน ระยะทางไกลๆ หรือในเวลาค่ำคืน ควรสวมแว่นตาสำหรับขี่รถจักรยานยนต์ สวมเสื้อแขนยาว ผ้าหนาสีสะดุดตา สวมกางเกงขายาวผ้าหนา สวมถุงมือหนังสวมรองเท้าหุ้มข้อมีส้น 
          3.5 สวมใส่เครื่องป้องกันอันตราย เช่น สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งที่ขับขี่ หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ ต้องรัดเข็มขัด นิรภัย ทุกครั้งที่ขับขี่ หรือโดยสารรถยนต์ ขณะเกิดอุบัติเหตุผู้ที่ไม่สวมหมวกกันน็อค จะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะมากกว่า ผู้ที่สวมหมวก กันน็อคถึง 5 เท่า หรือตายจากการบาดเจ็บศีรษะมากกว่า 3 เท่า ส่วนการคาดเข็มขัดนิรภัยขณะเกิดอุบัติเหตุ จะช่วยลดการบาดเจ็บให้น้อยลง 1/3  เท่า และจะลดการตาย ให้น้อยลงถึง 4/5 เท่า นอกจากนั้น เข็มขัดนิรภัยยัง ช่วยยึดร่าง กาย ของคนในรถไว้ ไม่กระเด็นออกจากรถด้วย ซึ่งหากมีการกระเด็นออกไปนอกรถ จะทำให้มีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่า ที่จะอยู่ในรถถึง 5 เท่า
          3.6 ขับรถตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เช่น ขับรถด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ขับรถตัดหน้ารถ อื่นในระยะ กระชั้นชิด ขับรถจักรยาน หรือรถจักรยานยนต์ในช่องเดินรถด้านซ้ายสุด ไม่ขับรถล้ำแนว กลางถนน ไม่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟ หรือสัญญาณจราจรต่างๆ    สำหรับรถจักรยานตามกฎจราจรกำหนด ให้ขับขี่ได้เพียง 1 คน เท่านั้น ไม่ควรบรรทุกผู้โดย สารซ้อนท้าย แต่สามารถบรรทุกของได้ไม่เกิน 30 กิโลกรัม 
          3.7 ขับรถความระมัดระวัง เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาออกรถ เวลาใช้ความเร็ว เวลาจะเลี้ยว เวลาจะแซง เวลาจะขึ้น หรือลงจากที่สูง เมื่อผ่านทางแยก หรือเมื่อเวลาจะจอดรถ นอกจากนั้น ควรเพิ่มความระมัดระวัง เป็นพิเศษเวลาฝนตก ถนนลื่น หรือบริเวณที่มีน้ำนอง สำหรับการขับขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ควรบรรทุกผู้โดยสารซ้อนท้าย หรือบรรทุกของ เกินอัตราที่ กำหนด และในการหยุดรถทุกครั้ง ต้องใช้เบรกเครื่องยนต์ เบรกหน้าและเบรกหลัง ส่วนเบรกหน้าไม่ควรเบรกให้ล้อตาย (Lock) จะทำให้รถเสียการทรงตัว อาจล้มได้ สำหรับเบรกเครื่องยนต์จะใช้เมื่อรถเอียงเข้าโค้ง
          3.8 ควรขับรถอย่างมีมารยาท มีน้ำใจ สุภาพ สุขุม และรู้จักให้อภัยเมื่อ มีการผิดพลาดเกิดขึ้น 
          3.9 ผู้ที่ขับขี่ยวดยานพาหนะไม่ควรใช้ยาเสพติดต่างๆ เช่น ยากระตุ้นประสาท ยาระงับประสาท หรือยากล่อมประสาท รวมทั้งไม่ควรดื่มสุราหรือของมึนเมาต่างๆ เมื่อจะขับรถ 
          3.10 ทุกครั้งที่ขับขี่ยานพาหนะ ผู้ขับขี่ต้องมีสติมั่นคง ไม่ตกใจง่าย สามารถควบคุมสติได้ดี   ซึ่งจะทำให้ตัดสินใจ และเลือกใช้วิธีแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ถูกต้อง
         4. ความปลอดภัยในการโดยสารยานพาหนะ เพื่อความปลอดภัย ผู้โดยสารยานพาหนะทางบก ควรปฏิบัติดังนี้
         การโดยสารรถจักรยานยนต์พึงปฏิบัติดังนี้
         1. ควรขึ้นหรือลงจากรถด้วยความระมัดระวังและเมื่อรถจอดอยู่
         2. ควรแต่งกายให้รัดกุม ไม่เกะกะรุ่มร่าม เพราะอาจทำให้เสื้อผ้าเกาะเกี่ยวกับตัวรถ ขณะรถวิ่ง ทำให้เกิดอันตรายได้
         3. ควรสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งเมื่อโดยสารรถจักรยานยนต์
         4. ควรนั่งช้อนท้ายผู้ขี่รถจักยานยนต์และนั่งคร่อมบนอาจที่จัดไว้สำหรับผู้โดยสาร
         5. วางเท้าไว้ที่พักเท้า ให้ปลายเท้าชี้ไปข้างหน้า
         การโดยสารรถยนต์นั่งหรือรถบรรทุก พึงปฏิบัติดังนี้
         1. ควรขึ้นหรือลงจากรถเมื่อรถหยุดเรียบร้อยแล้ว
         2. ควรรัดเข็มขัดนิรภัย(กรณีที่มี) ทุกครั้งเมื่อโดยสารรถ
         3. ขณะนั่งรถไม่ควรพูดคุย หรือชักถามผู้ขับรถตลอดเวลาที่ผู้ขับรถ กำลังขับรถอยู่
         4. ไม่ควรชะโงกหน้าหรือยื่นแขนออกไปนอกรถขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่
         5. เมื่อลงจากรถแล้ว หากจะข้ามถนน ไม่ควรเดินออกมาทางหน้ารถที่ยังจอดอยู่ เพราะอาจทำให้ รถที่วิ่งแซงขึ้นมา วิ่งมาเฉี่ยวชนได้
         การโดยสารรถประจำทาง พึงปฏิบัติดังนี้ 
         1. ควรขึ้นหรือลงจากรถประจำทางเฉพาะป้ายจอดรถประจำทางเท่านั้น 
         2. ควรขึ้นลงเมื่อรถจอดสนิทแล้ว
         3. ควรให้คนโดยสำรองลงเสียก่อน จึงค่อยขึ้น 
         4. เมื่อขึ้นรถแล้วมีที่นั่ง ก็ควรนั่งให้เรียบร้อย 
         5. ไม่ควรยื่นส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายออกนอกตัวรถ 
         6. ไม่ควรคุยหรือซักถามผู้ขับรถขณะที่กำลังขับรถอยู่ 
         7. ไม่ควรห้อยโหนตัวออกนอกรถ 
         8. ไม่ควรนั่งบนขอบหน้าต่างรถ หลังคารถ หรือบนพนักพิงที่ไม่ปลอดภัย 
         9. เมื่อลงจากรถแล้วต้องการจะข้ามถนนไม่ควรเดินออกมาทางหน้ารถที่ยังจอดอยู่ เพราะรถที่กำลังวิ่งแซงขึ้นมา อาจมองไม่เห็น
             และวิ่งชนได้
         การโดยสารรถไฟ พึงปฏิบัติดังนี้ 
         1. ควรขึ้นหรือลงจากรถ เมื่อรถได้จอดเทียบชานชาลาเรียบร้อยแล้ว 
         2. ควรนั่งให้เรียบร้อยก่อนรถไฟจะออก 
         3. ขณะนั่งรถไฟ ไม่ควรชะโงก หรือยืนส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายออกไป โดยเฉพาะ เมื่อรถไฟแล่นผ่านสะพาน หรือถ้ำ 
         4. ไม่ควรขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ และไม่ควรยืนหรือนั่งขวางประต ูหรือเดินเล่นไปมาระหว่างตู้รถไฟ
5. ความปลอดภัยในการเดินทางเท้า ผู้เดินทางเท้า ควรปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยดังนี้ 
 1. การเดินถนน 
         1.1 ถนนที่มีทางเท้าให้เดินบนทางเข้า โดยเดินชิดด้านซ้ายมือ ไม่เดินใกล้ทางรถโดยหันหลังให้รถที่กำลังแล่นมา และก่อนที่จะก้าวเดิน
             ไปทางรถ ต้องมองซ้าย มองขวาทั้งสองด้านก่อนเสมอ 
         1.2 ถนนที่ไม่มีทางเท้า ให้เดินชิดริมทางขวาของถนน เดินให้สวนทางกับรถที่วิ่งเข้ามา และเดินเรียงเดี่ยวตามกันไป ไม่เดินคู่กัน 
         1.3 การเดินถนนในที่มืด ควรสวมเสื้อผ้าสีขาว และถือไฟฉายส่องติดมือไปด้วย 
         1.4 ไม่ควรเล่นเกาะกะบนทางเท้า 
         1.5 หากจูงเด็กให้เดินด้านใน และจับมือเด็กให้มั่น เพื่อป้องกันเด็กวิ่งออกไปทางรถ 
2. การข้ามถนน 
            เพื่อความปลอดภัยในการข้ามถนน ตรงช่องทางข้าม (ทางม้าลาย สะพานลอย หรืออุโมงค์) การข้ามถนนตรงช่องทาง ที่ควบคุมด้วยสัญญาณไฟจราจร และการข้ามถนน โดยไม่มีสัญญาณอะไรเลย ผู้ข้ามถนนควรปฏิบัติดังนี้ 
2.1 การข้ามถนนตรงช่องทางข้าม 
       2.1.1 การข้ามถนนที่ทางม้าลาย ควรยืนรอบนทางเท้า หรือไหล่ทางเสียก่อน แล้วมองขวา มองซ้าย และมองดูรถอีกรอบหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่ารถอยู่ห่างทั้งสองข้าง แล้วจึงข้าม โดยเดินทางด้านซ้ายของทางม้าลาย และข้ามด้วยความรวดเร็ว สำหรับทางม้าลาย ที่มีเสาไฟเป็นรูปตุ๊กตาคนข้ามถนน ให้ยืนบนทางเท้า หรือไหล่ทางก่อน แล้วมองที่ตุ๊กตา รูปคน หากตุ๊กตาสีเขียว ก็ให้ข้ามถนนไปได้ แต่ต้องรอให้รถหยุดเสียก่อน ถ้าเป็นตุ๊กตาสีแดง ห้ามข้ามเด็ดขาด ในบางแห่ง อาจใช้สัญญาณเป็นตัวหนังสือบอกไว้ว่า “เตรียม” “หยุด” “ไปได้” หรือ มีเสียงเพลง เมื่อมีเสียงเพลงขึ้นมาแสดงว่าให้ข้ามได้
       2.1.2 การข้ามถนนที่สะพานลอย ในระยะ 100 เมตร ต้องเดินไปข้ามตามกฎจราจรที่กำหนดไว้ ควรเดินไปข้าม และระมัดระวังในการเดินขึ้น และลงสะพานลอย ไม่ควรเดินข้ามถนนใต้สะพานลอย 
       2.1.3 การข้ามถนนที่อุโมงค์ ให้เดินลงบันไดด้วยความระมัดระวัง และเดินลอดข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง แล้วขึ้นบันไดด้วยความระมัดระวัง 
2.2 การข้ามถนนตรงช่องทางที่ควบคุมด้วยสัญญาณไฟจราจร 
        2.2.1 ให้ยืนรอบนทางเท้า หรือไหล่ทาง เมื่อรถหยุดติดไฟแดงแล้วจึงจะก้าวลง ข้างถนนสัญญาณไฟจราจรสีเขียว เป็นสัญญาณให้รถวิ่ง แค่สัญญาณไฟสีแดง เป็นสัญญาณให้รถหยุด จึงควรสังเกตสัญญาณไฟ ให้ดีก่อนข้ามถนน 
       2.2.2 ควรระวังที่ให้สัญญาณลูกศรบอกเลี้ยวซ้าย โดยต้องรอให้ลูกศรชี้ให้รถเลี้ยวซ้ายดับเสียก่อน จึงจะก้าวข้ามลงไปได้ 
       2.2.3 หากมีตำรวจจราจรยืนอยู่ที่ทางแยก ให้สังเกต และฟังเสียงนกหวีด ถ้าเสียงนกหวีด ยาวปิ๊ดหนึ่งครั้ง แสดงว่าให้รถหยุด หรือมีสัญญาณไฟแดง แต่ถ้าเสียงนกหวีดสั้นๆ 1-2 ครั้ง ดัง ปิ๊ด-ปิ๊ด แสดงว่าให้รถแล่นได้ หรือมีสัญญาณไฟเขียว 
2.3 การข้ามถนนโดยไม่มีสัญญาณอะไรเลย 
       2.3.1 ก่อนข้ามถนนทุกครั้งต้องหยุดยืนที่ขอบถนน แล้วมองขวา-ซ้าย-ขวา ให้แน่ใจเสียก่อนว่า ไม่มีรถกำลังแล่นมา จึงรีบเดินข้ามถนนเป็นเส้นตรงไปโดยเร็ว 
       2.3.2 การข้ามถนนที่รถเดินทางเดียว ต้องหยุดดูให้แน่ใจก่อนว่า รถแล่นมาจากทางไหน แล้วจึงข้ามด้วยความระมัดระวัง 
       2.3.3 ถนนที่มีเกาะกลาง ให้ข้ามทีละครึ่งถนน โดยข้ามครั้งแรก ไปพักที่บนเกาะกลางถนนเสียก่อน แล้วจึงข้ามในครึ่งหลังต่อไป 
       2.3.4 อย่าข้ามถนนโดยออกจากที่กำบังตัว เช่น ออกจากซอกรถที่จอดอยู่ หรือออกจากท้ายรถ ประจำทาง หากเป็นเวลาค่ำคืน ควรหาที่ข้ามซึ่งมีแสงสว่าง และสวมเสื้อผ้าสีขาวให้ตัดกับความมืด
การป้องกันด้านสิ่งแวดล้อม  การป้องกันอุบัติเหตุด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การป้องกันเกี่ยวกับ สภาพยวดยานพาหนะ สภาพถนน และสภาพดิน ฟ้า อากาศ ซึ่งมีวิธีการ ดังต่อไปนี้
1. การป้องกันเกี่ยวกับสภาพยวดยานพาหนะ  ความบกพร่อง หรือความผิดปกติ ของยวดยานพาหนะ มักเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ได้เสมอ การป้องกัน เกี่ยวกับสภาพยวดยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน รถบรรทุก รถกะบะ รถสามล้อเครื่อง ฯลฯ จึงควรปฏิบัติดังนี้ 
        1.1 การเลือกซื้อและใช้ยวดยานพาหนะที่ออกแบบดี มีสภาพมั่นคงแข็งแรง มีอุปกรณ์ครบถ้วน และมีอุปกรณ์ที่ช่วยลดอันตราย
              ของผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร 
        1.2 ตรวจสภาพยวดยานพาหนะอย่างสม่ำเสมอ หากมีสภาพผิดปกติ ควรนำไปแก้ไข ซ่อมแซม ให้เรียบร้อย ก่อนนำไปใช้งาน 
        1.3ไม่ควรนำเครื่องยนต์ หรือยวดยานพาหนะ ที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง หรือไม่ปลอดภัยมาใช้ ซึ่งอาจเกิดอันตราย และผิดกฎหมาย
              ตามมาตรา 6 ของพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ด้วย
สภาพของของยวดยานพาหนะบางชนิด
       1. สภาพรถจักรยานที่ปลอดภัยจะต้องมีความมั่นคงแข็งแรง มีอุปกรณ์ต่างๆครบถ้วน พร้อมที่จะใช้การได้เสมอ ซึ่งจะต้องมีไฟหน้าที่ให้ความสว่าง มองระยะทางได้ไกลไม่น้อยกว่า 50 เมตร มีกระดิ่งที่ได้ยินไกลอย่างน้อย 30 เมตร และใช้การได้ มีมือจับ เบรกที่ใช้การได้ดี เบาะนั่งที่ปรับได้ มีสายโซ่ จากลูกโซ่ที่สะอาด และมีน้ำทันหล่อลื่นอยู่เสมอ มีกระไดจักรยาน ยางรถ และล้อซึ่งล้อครบ รวมทั้งมีโครมไฟติดท้ายรถ อย่างน้อย 1 ดวง หรือทาสีสะท้อนสีแดง ที่บังโคลนหลังด้วย 
       2. สภาพรถจักรยานยนต์ที่ปลอดภัยต้องมีสภาพใช้การได้ดี และมีอุปกรณ์ต่างๆ ได้แก่ พวงมาลัย หรือที่จับคันเลี้ยว ซึ่งมีความหมายเที่ยงตรง และมั่นคง มีสัญญาณไฟต่างๆ และมีแตรสัญญาณ ที่มีสภาพใช้การได้ดี มีกระจกมองหลัง มองข้าง ซึ่งปรับได้ระดับพอดีกับสายตา เกียร์ ที่สตาร์ท และคลัดซ์ ใช้งานได้สะดวก มีเบาะนั่งที่มีขนาดพอเหมาะ ซึ่งติดกับตัวถังแน่น และในด้านท้ายของเบาะมีเหล็กกัน เพื่อกันคนซ้อนท้าย มิให้ลื่นหล่นได้ มีที่วางเท้าสำหรับคนขับ และคนซ้อนท้ายครบสองข้าง มีโซ่ และที่ครอบโซ่ยึดติดแน่น ท่อไอเสียก็จะต้องเชื่อมติดแน่นกับตัวถัง ไม่แตกรั่ว นอกจากนั้น ยังมีบังโคลนหน้า และหลัง ห้ามล้อ หรือเบรกเท้าที่ใช้งานได้ดี และล้อที่แข็งแรงด้วย 
       3. สภาพรถยนต์ รถยนต์จะต้องมีความมั่นคง แข็งแรง อุปกรณ์ครบถ้วน ได้แก่ โคมไฟหน้า ไฟท้าย ไฟหยุด ไฟส่องหมายเลขทะเบียน สัญญาณไฟต่างๆ มีกันชนหน้า และหลัง กระจกมองหลังมองข้าง บังโคลนหน้า และหลัง มีเกียร์ ที่สตาร์ท คลัตช์ และเบรกมือ เบรกเท้า ที่ใช้งานได้ดี มีพวงมาลัยที่มีความเที่ยงตรง มั่นคง เพื่อความปลอดภัย พวงมาลัยควรทำด้วยวัสดุที่ดูดซับแรงกระแทก และแกนพวงมาลัยเป็นแบบยุบตัวได้ ป้องกันแรงกระแทก ขณะเกิดอุบัติเหตุ มีแตร เครื่องปัดน้ำฝนที่ใช้งานได้ดี เบาะนั่งติดแน่นกับตัวรถ มีถุงลมนิรภัย (Air Cushion) ตรงด้านหน้าบริเวณเบาะที่นั่งหน้ารถ ที่ช่วยป้องกันการปะทะ หรือแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ มีเข็มขัดนิรภัย ซึ่งช่วยยึดร่างกายของคนในรถไว้ มิให้กระเด็นออกจากรถ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น มียาง และล้อที่แข็งแรง รวมทั้งท่อไอเสียที่ใช้งานได้ดี
2. การป้องกันเกี่ยวกับสภาพถนน  สภาพถนนที่ปลอดภัยนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การออกแบบถนน การออกแบบ ทางแยก ทางเชื่อม ลักษณะผิวพื้นถนน เครื่องหมายจราจร หรือสัญญาณจราจรต่างๆ ปริมาณการจราจร และสภาพแสงสว่างบนถนน ฯลฯ เพื่อความปลอดภัย ควรพิจารณาเกี่ยวกับสภาพถนนดังนี้
      1. การออกแบบถนน ควรออกแบบให้ได้มาตรฐาน และแบ่งถนน ตามหน้าที่การใช้สอย เช่น ถนนธรรมดา ถนนเชื่อมถนนธรรมดา และเชื่อมถนนซอย ถนนสายเอก และถนนพิเศษ หรือถนนด่วน ส่วนการออกแบบถนนที่ปลอดภัยนั้น จะต้องคำนึงถึงความโค้งของถนน ผิวลาดของถนน และระยะสายตา โดยปกติโค้งถนนที่มีทั้งส่วนที่เป็นผิวลาด และผิวเนินสูงรวมอยู่ด้วยกัน จะต้องลดความลาดลง นอกจากนั้น ควรออกแบบถนน โดยการวางแนวถนนเป็นเส้นรอบวง ทำให้เป็นระยะที่สายตาจะมองเห็นได้ ถนนควรสร้างให้มีความกว้างพอ ที่จะมีทางเท้าที่เหมาะสม และจัดแบ่งช่องทางวิ่งให้มีขนาดกว้างพอ และตีเส้นชัดเจน รวมทั้งมีเกาะกลางถนน และมีลู่ถนน หรือซองถนนฉุกเฉิน สำหรับยวดยานที่เสียหายจนแล่นไม่ได้ 
      2. การออกแบบทางเชื่อมทางแยก ควรวางผัง หรือออกแบบทางแยกทางเชื่อมที่เหมาะสม ทั้งนี้เพราะ บริเวณทางแยก ถนนตัดกันเป็นสี่แยก มีปริมาณอุบัติเหตุเกิดขึ้นมากกว่าสามแยกเสมอ และบริเวณทางแยกการเลี้ยงขวา มักมีอันตรายที่สุด
      3. ลักษณะผิวพื้นถนน ผิวพื้นถนนจะต้องมีความฝืดหรือมีความต้านทานการลื่น ที่จะช่วยถ่ายแรงสัมผัสระหว่างยางรถกับถนน ในระหว่างที่ห้ามล้อ และขับไปตามโค้งถนน นอกจากนั้นสภาพพื้นผิวถนน จะต้องไม่ขรุขระไม่เป็นหลุมเป็นบ่อด้วย
      4. เครื่องหมายจราจรเครื่องกันต่างๆ จะต้องออกแบบให้เข้าใจง่าย สังเกตเห็นได้ชัดเจน 
ทั้งเวลากลางวัน และกลางคืน ขนาดของแผ่นป้าย และตัวหนังสือ ควรออกแบบโดยคำนึงถึงความเร็วรถ เวลาที่ใช้ในการอ่านข้อความบนถนน และระยะห่าง ของป้ายกันแนวทางเดินของรถ ส่วนเครื่องหมายจราจร ถนนที่ไม่ดีหรือเสื่อมสภาพ ควรปรับปรุง ซ่อมแซม ให้ใช้งานได้ดีเสมอ สำหรับเครื่องกันต่างๆ ควรจัดวางไว้ในแนวกลางแผน ริมถนน สะพาน หรือเนินดินต่างๆ เพื่อช่วยให้เกิดความปลอดภัย ในการจราจร
      5. ปริมาณการจราจร บนท้องถนนที่มีการจราจรหนาแน่น และการใช้อัตราความเร็วต่างๆ ในขณะขับรถ ย่อมก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ได้ง่ายเสมอ จึงควรมีการจำกัด จำนวนยานพาหนะบนท้องถนน และกำหนดอัตราความเร็วของรถไม่ต่ำ หรือสูงเกินไป
      6. สภาพแสงสว่าง ความสามารถในการมองเห็น จะช่วยลดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นจึงควรจัดแสงไฟส่องบนท้องถนน ให้เหมาะสม และให้มีแสงสว่างจ้า เข้าตาผู้ขับขี่น้อยที่สุด
3. การป้องกันเกี่ยวกับสภาพดินฟ้าอากาศ เนื่องจากสภาพดินฟ้าอากาศ เป็นเรื่องของธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ บุคคลจึงควร รู้จักป้อง กันอันตราย จาการที่สภาพดินฟ้าอากาศไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องความระมัดระวัง ในการขับขี่ยวดยานพาหนะต่างๆ ขณะที่เกิดพายุ ฝนฟ้าคะนอง น้ำท่วมหรือหมอกลง หรือหากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยวดยานพาหนะ ในขณะที่ดินฟ้าอากาศ เอื้ออำนวยต่อการเกิดอุบัติเหตุ
การป้องกันด้านกฎหมาย   การป้องภัยอุบัติเหตุจาการจราจรทางบก ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือการป้องกันด้านกฎหมาย ซึ่งอาจกล่าวได้ดังนี้
      1. ควรออกกฎหมายให้ผู้ใช้รถใช้ถนน ปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย โดยระบุโทษให้เพิ่มมากขึ้น หากมีการฝ่าฝืน หรือกระทำผิดกฎจราจร
      2. เมื่อมีการกระทำผิดกฎระเบียบการจราจร ควรจะส่งฟ้องศาลทุกครั้ง
      3. เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบกฎหมาย หรือควบคุมการปฏิบัติของผู้ใช้รถใช้ถนน ควรดูแลเอาใจใส่ ในเรื่องกฎระเบียบ และลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง โดยเฉพาะ ในเรื่องการตรวจสอบความสามารถ ของผู้ขับขี่ยวดยาน ก่อนที่จะอนุญาตให้ใช้ยวดยาน และการไม่ปรับ หรือไม่จับกุมฝ่าฝืนกฎจราจร
      4. ควรจัดตั้งค่าตรวจ และควบคุมความเร็วรถ รวมทั้งขยายงานของกองตำรวจทางหลวงในด้านต่างๆ ให้เพิ่มมากขึ้น
      5. ประชาชนทุกคนควรให้ความร่วมมือ ในการสร้างระเบียบวินัย และความปลอดภัย โดยการศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับกฎจราจร และปฏิบัติตามให้ถูกต้องจริงจัง
กฎจราจรที่ควรทราบเกี่ยวกับการขึ้นรถทุกชนิด
ข้อที่ต้องปฏิบัติ
       1. นำใบอนุญาตขับรถติดตัวไปทุกครั้ง
       2. เดินรถทางด้านซ้ายของทางเสมอ ยกเว้นจะแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น
       3. เมื่อจะเลี้ยวซ้าย ให้เดินรถชิดขอบซ้ายของทาง
       4. เมื่อจะเลี้ยงขวา ให้เดินรถชิดด้านขวาของแนวกิ่งกลางของทาง หรือเดินรถในช่องที่มีเครื่องหมาย ให้เลี้ยวขวา ก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อย
           กว่า 30 เมตร
       5. เมื่อรถถึงทางร่วมพร้อมกัน ต้องให้รถที่มาทางด้านซ้ายผ่านไปก่อน
       6. เมื่อจะหยุดรถ เบารถ เลี้ยวรถ หรือผ่านทางร่วม ทางแยก หรือเปลี่ยนช่องเดินรถต้องให้สัญญาณทุกครั้ง
       7. ในเวลากลางคืนต้องจุดโคมไฟเสมอ
ข้อที่ไม่ควรปฏิบัติ
       1. ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
       2. ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น
       3. ขับรถในลักษณะที่กีดขวางการจราจรของผู้อื่น
       4. ขับรถแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นตรงทางร่วม ทางแยก หัวเลี้ยว ในที่คับขัน หรือที่มีรถ หรือสิ่งกีดขวางข้างหน้า
       5. ขับรถคร่อมทับเส้น หรือแนวช่องเดินรถ เว้นแต่เพื่อช่องเดินรถ
       6. ขับรถเคลื่อนถอยไฟมา กลับรถ หยุดรถบนสะพาน ทางร่วม ทางแยก หัวเลี้ยว หรือในที่คับขัน
       7. กลับรถตัดหน้ารถอื่นที่สวนหรือตามมาในระยะน้อยกว่า 15 เมตร
       8. ขับรถในเมื่อรู้ตัวว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ เช่น เจ็บป่วย เมาสุรา เป็นต้น
       9. ขับรถในที่ ที่ซึ่งเจ้าพนักงานจราจรทำเครื่องหมายห้ามจอดไว้


ที่มา http://www.ipesp.ac.th/learning/supitcha/html/E4-2-2-1.html

ที่มา http://www.ipesp.ac.th/learning/supitcha/html/E4-2-1.html

<< Go Back