
ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เกิดขึ้นจากการที่ทรัพยากรเศรษฐกิจมีจำกัด เมื่อเทียบกับความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด ทำให้ทุกสังคมประสบปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ซึ่งจำแนกออกได้เป็น 3 ปัญหา คือ
จะเลือกผลิตอะไร (What to produce)
ผลิตอย่างไร (How to produce)
ผลิตเพื่อใด (For Whom to produce)
1. ปัญหาว่าจะผลิตอะไร (What) เนื่องจากมีทรัพยากรจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการ ดังนั้นจึงต้องมีการตัดสินใจว่าควรจะเลือกทรัพยากรที่มีอยู่ นำไปผลิตสินค้าและบริการอะไรได้บ้างที่จำเป็น และเป็นจำนวนเท่าใด จึงจะสามารถสนองความต้องการและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อสังคม ตัวอย่างเช่น ประเทศชาติมีทรัพยากรจำกัดก็ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดนั้นไปในการผลิตอาหารเพื่อปากท้องของพลเมืองอย่างทั่วถึง หรือควรจะผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารให้เป็นประเทศมหาอำนาจ เป็นต้น
2. ปัญหาว่าควรผลิตอย่างไร (How) หลังจากตัดสินใจได้ว่าจะผลิตอะไรเป็นจำนวนสักเท่าใดแล้ว ปัญหาที่เราจะต้องตัดสินใจขั้นต่อไปก็คือ เราจะใช้เทคนิคและกรรมวิธีการผลิตสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องการวิธีการใด และจะใช้ปัจจัยการผลิตมากน้อยในสัดส่วนเท่าใดจึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด หรือเสียต้นทุนต่ำที่สุด เนื่องจากผู้ผลิตมีเทคนิคและกรรมวิธีการผลิตสินค้าได้หลายวิธีที่สามารถให้ผลผลิตเท่าเทียมกัน จึงต้องเลือกใช้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ตัวอย่างเช่น เกษตรกรต้องการปลูกข้าวให้ได้ข้าวเปลือก 1,000เกวียน อาจเลือกใช้ที่นาจำนวนมากโดยใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์การเกษตรจำนวนน้อย หรืออาจเลือกใช้ที่นาจำนวนน้อยโดยใช้เทคโนโลยีการเกษตรจำนวนมาก ไม่ว่าเราใช้การผลิตวิธีใดก็สามารถได้ข้าวเปลือก 1,000 เกวียนเท่ากัน เป็นต้น
3. ปัญหาวาจะผลิตเพื่อใคร (For Whom) ปัญหาว่าจะผลิตสินค้าและบริการเพื่อใคร คำตอบก็คือผลิตเพื่อประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภค หลังจากผลิตสินค้าและบริการได้แล้วก็จะมีการจำหน่ายจ่ายแจกไปยงผู้บริโภค เงินที่ผู้บริโภคใช้จ่ายเพื่อเป็นเจ้าของสินค้าและบริการจะตกไปอยู่กับใคร จำนวนเท่าใด เป็นการศึกษาถึงการผลิต การบริโภค และการแบ่งสรรทรรัพยากรการผลิตโดยการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน การที่ผู้บริโภคแต่ละคนจะได้สินค้าและบริการมากินมาใช้มากน้อยแค่ไหน หรือรัฐบาลของบางประเทศอาจเป็นผู้กำหนด ตามนโยบายของรัฐบาลว่าจะจัดสรรให้แก่กลุ่มบุคคลใด ด้วยวิธีการอย่าง
การตัดสินใจว่า เราควรจะผลิตอะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพื่อใครดังกล่าวนี้ เป็นเรื่องของการจัดสรรทรพัยากรการผลิตที่มีอยู่จำกัด เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ที่มีไม่จำกัด ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและอำนวยประโยชน์สูงสุดต่อสังคม เศรษฐกิจ ส่วนการแก้ปัญหาจะแตกต่างกันไป แล้วแต่ระบบเศรษฐกิจของสังคมนั้นๆ
เศรษฐกิจภาครัฐ
ในระบบเศรษฐกิจแบบผสมที่เน้นทางด้านทุนนิยม รัฐบาลมีหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยความยุติธรรม เสรีภาพ สวัสดิการ บริการสาธารณะ ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของบ้านเมือง กิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐบาลก็ทำนองเดียวกับภาคเอกชน รัฐบาลจำเป็นต้องแสวงหารายได้ให้เพียงพอที่จะนำไปใช้จ่ายบริหารประเทศให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนโดยส่วนรวม
การศึกษาเศรษฐกิจภาครัฐบาลนั้นอาจแตกต่างจากการศึกษาเศรษฐกิจภาคเอกชนไปบ้างในแง่ของวิธีการ วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการแสวงหารายได้ และการใช้จ่ายของภาครัฐบาลมุ่งใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ โดยมิได้มุ่งในทางการค้าหากำไร ซึ่งในบทนี้นักเรียนจะได้ศึกษาทำความเข้าใจเศรษฐกิจภาครัฐบาลต่อไป
ความหมายและวัตถุประสงค์ของเศรษฐกิจภาครัฐ
เศรษฐกิจภาครัฐ (public economy) เป็นการศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจกรรมทางเศรษฐกิจของรัฐทางด้านรายได้ หนี้สาธารณะ และรายจ่ายของรัฐนโยบายที่รัฐกำหนดระดับและโครงสร้างของรายได้ ผลกระทบจากการจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐ และผลของการใช้จ่ายที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวม
วัตถุประสงค์ด้านเศรษฐกิจ หมายความรวมถึงการมีงานทำและการมีรายได้ การรรักษาเสถียรภาพของระดั้บราคา การรักษาเสถียรภาพของดุลการชำระเงิน การผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตอย่างมั่นคง เป็นต้น
ความสำคัญของเศรษฐกิจภาครัฐ
การจัดเก็บรายได้ การก่อหนี้ หรือการใช้จ่ายเงินจำนวนมากจากภาครัฐสู่ภาคเอกชน ย่อมก่อผลกระทบต่อการผลิต การบริโภค และการจ้างงานอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาด้วยแล้ว เศรษฐกิจภาครัฐยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เช่น งานสาธารณูปโภครัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
การที่เศรษฐกิจภาครัฐมีความสำคัญมากขึ้นเช่นนี้ เราพอสรุปได้ว่ามาจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ
1. รัฐบาลของประเทศต่างๆ มีหน้าที่และความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นไม่เพียงแต่ในด้านการบริหารงานของรัฐเพื่อให้เกิดความสงบสุข และรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรมเท่านั้น แต่รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมหลายประเภทซึ่งเอกชนดำเนินการอยู่ เช่น การค้าขาย การอุตสาหกรรม การมีหน้าที่และความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นนี้ ทำให้รัฐบาลต้องการใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นด้วย ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีหน้าที่ที่จะต้องหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่าย เช่น การเก็บภาษีอากรการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เศรษฐกิจภาครัฐบาลจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะผูกพันอยู่กับงานในด้านต่างๆ ของรัฐบาล
2. การเก็บภาษีอากร การใช้จ่าย และการกู้เงินของรัฐบาลมีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในด้านการผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยน และการกระจายรายได้ ซึ่งเรียกว่า การคลังรัฐบาล
การคลังรัฐบาล (public finance) หมายถึง การใช้จ่ายเพื่อบริหารประเทศของรัฐบาล วิธีการแสวงหารายได้และการบริหารรายได้ของรัฐบาล การก่อหนี้สาธารณะ (หนี้ของภาครัฐ ซึ่งเกิดจาการยืมโดยตรงของรัฐบาล หรือการกู้ยืมของรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน โดยประชาชนทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ)ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้จ่ายและการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล สิ่งที่จะช่วยให้เข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ดีขึ้น ได้แก่ งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นแผนการเกี่ยวกับการหารายได้ การกู้ยืม และการใช้จ่ายตามโครงการต่างๆ ของรัฐบาลในแต่ละปีรัฐบาลจะต้องทำงบประมาณประจำปี เพื่อแสดงให้ประชาชนทราบว่าในปีต่อไปรัฐบาลมีโครงการจะทำอะไรบ้าง แต่ละโครงการต้องใช้จ่ายเป็นจำนวนเท่าใด และรัฐบาลจะหารายได้จากทางใดมาใช้จ่ายตามโครงการนั้นๆ
การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจเป็นกระบวนการกำหนดแผนงานล่วงหน้าในการวางโครงการ แผนงานวิธีปฏิบัติ และการจัดหาทรัพยากรหรือเงินทุนในการพัฒนาเศรษฐกิจให้บรรลุเป้าหมายในระยะเวลาที่กำหนดแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
1. การวางแผนระดับชาติ เป็นการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจรวมของประเทศโดยอาจแบ่งเป็นแผนระยะยาวหรือแผนประจำปี และมีการกำหนดเป้าหมายต่างๆ ไว้ เช่น อัตราเพิ่มของรายได้ประชาชาติ เป็นต้น
2. การวางแผนระดับภาคเศรษฐกิจ เป็นการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจตามภาคเศรษฐกิจ เช่น แผนพัฒนาอุตสาหกรรม แผนพัฒนาเกษตรกรรม แผนพัฒนาการค้าต่างประเทศ เป็นต้น
3. การวางแผนระดับโครงการ เป็นการวางแผนเป็นรายโครงการ มีรายละเอียดมากกว่าแผนระดับชาติและแผนระดับภาคเศรษฐกิจ โดยกำหนดแผนการดำเนินงาน วิธีการดำเนินงาน และกำหนดหน่วยปฏิบัติไว้เป็นระเบียบแบบแผน

https://sites.google.com/site/sujinthorn4444/payha-phun-than-thang-sersthkic
|