<< Go Back

การแปรรูปปาล์มน้ำมัน

การสกัดน้ำมันปาล์ม (Mill Processing) 

          หลังจากการเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มน้ำมัน  จะมีการขนส่งผลผลิตเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม ที่สกัดน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีกระบวนการสกัดน้ำมัน 2 แบบ คือ แบบมาตรฐาน (หีบน้ำมันแยก) และแบบหีบน้ำมันผสม โดยโรงงานอุตสาหกรรมที่สกัดน้ำมันแบบมาตรฐาน จะเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูง  ประมาณ 30 ถึง 80 ตันต่อชั่วโมง และน้ำมันที่ได้จัดเป็นน้ำมันคุณภาพระดับเกรดเอ เนื่องจากมีการแยกชนิดของน้ำมันปาล์ม สำหรับโรงงานที่สกัดน้ำมันแบบหีบน้ำมันผสม  จะเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตค่อนข้างต่ำ และน้ำมันที่สกัดได้ จะเป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมระหว่างน้ำมันปาล์ม จากเปลือกและน้ำมันจากเมล็ดในปาล์ม ดังนั้นจะกล่าวถึงวิธีการสกัดน้ำมัน แบบที่นิยมใช้โดยทั่วไปตามมาตรฐาน       
          ในปี พ.ศ. 2552  จังหวัดกระบี่มีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม จำนวน 21 โรง มีกำลังการผลิต 659 ตันปาล์มทะลายสดต่อชั่วโมง  หรือจำนวน 9,226 ตันต่อวัน (1 วัน คิดเป็นจำนวน 14 ชั่วโมง)  หรือ จำนวน 2.77 ล้านตันต่อปี (1 ปี คิดเป็นจำนวน 300 วัน) ผลิตภัณฑ์ ผลที่ได้ทางอ้อมและของเสีย หรือกากอุตสาหกรรมที่เกิดจากกระบวนการผลิต ได้แก่ น้ำมันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil) น้ำมันเมล็ดในปาล์ม (Palmkernel oil) ทะลายปาล์มเปล่า (Empty Bunch) เส้นใย (Fiber) กะลา (Shell) น้ำเสียและกากตะกอนน้ำมัน (Cake Decanter) ซึ่งของเสียที่เกิดขึ้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด (Zero Waste) เช่น ทะลายปาล์มเปล่า เส้นใย กะลา สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงหม้อไอน้ำ น้ำเสียนำมาผลิตแก๊สชีวภาพเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และกากตะกอนน้ำมันนำมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ สำหรับการจ้างงานในอุตสาหกรรมสกัดน้ำมันปาล์มมีการจ้างงาน ร้อยละ 17.22  (รายงานสถานการณ์อุตสาหกรรม และความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมจังหวัดกระบี่ 2552)

กระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม 

          กระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม  มีกระบวนการผลิต 4 ขั้นตอน คือ
         1. การอบทะลายด้วยไอน้ำ (Sterilization) โดยการอบที่อุณหภูมิ 130 ถึง 135 องศาเซลเซียส ใช้ความดัน 2.5 ถึง 3 Bars ใช้ระยะเวลานาน 50 ถึง 75 นาที การอบทะลายจะช่วยหยุดปฏิกิริยาไลโปไลซีส  ที่ก่อให้เกิดกรดไขมันอิสระในผลปาล์ม และช่วยให้ผลปาล์มอ่อนนุ่มหลุดจากขั้วผลได้ง่าย
         2. การแยกผล (Stripping) เป็นการส่งทะลายปาล์มเข้าเครื่องแยกผลปาล์มออกจากทะลาย สำหรับทะลายเปล่าจะถูกแยกออกไป จากนั้นนำผลปาล์มที่ได้ไปย่อยด้วยเครื่องย่อยผลปาล์ม เพื่อให้ส่วนเปลือกแยกออกจากเมล็ด
         3. การสกัดน้ำมัน (Oil Extraction)  อบโดยการนำส่วนเปลือกมาอบที่อุณหภูมิ 90 ถึง 100 องศาเซลเซียส  ใช้ระยะเวลานาน 20 ถึง 30 นาที หลังจากนั้นจึงผ่านเข้าเครื่องหีบแบบเกลียวอัดคู่ จะได้น้ำมันปาล์มดิบที่มีองค์ประกอบคือ น้ำมัน 66 เปอร์เซ็นต์ น้ำ 24 เปอร์เซ็นต์ และของแข็ง 10 เปอร์เซ็นต์
         4. การทำความสะอาดน้ำมันปาล์มดิบ (Clarification)  เป็นการนำน้ำมันปาล์มดิบที่ได้จากการสกัด ส่งไปยังถังกรอง เพื่อแยกน้ำและของแข็งออกจากกัน  จากนั้นนำเข้าเครื่องเหวี่ยง เพื่อทำความสะอาดอีกครั้ง ทำการไล่น้ำออก เพื่อทำให้ปาล์มแห้ง    และส่งเข้าถังเก็บน้ำมันสำหรับรอการกลั่นหรือจำหน่ายต่อไป  น้ำมันปาล์มดิบที่ได้ จะแยกเป็นสองส่วน คือ ส่วนบนจะมีลักษณะเป็นของเหลวสีส้มแดง (Crude Palm Oil Olein) ปริมาณประมาณ 30 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนล่างมีลักษณะเป็นไขสีเหลืองส้ม (Crude Palm Oil Stearin) ปริมาณประมาณ 50 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์  สำหรับกากผลปาล์มจะถูกนำมาแยกเส้นใยออกจากเมล็ด  และนำเมล็ดที่ได้มาอบแห้งและทำความสะอาด  จากนั้นนำเข้าเครื่องกะเทาะเพื่อแยกกะลาออก และนำเมล็ดในมาอบแห้งโดยให้มีความชื้นไม่เกิน 7 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นบรรจุลงในกระสอบเพื่อรอจำหน่าย หรือหีบน้ำมันต่อไป  สำหรับน้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันเมล็ดในปาล์มที่ได้จากกระบวนการการสกัด สามารถส่งเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อทำให้บริสุทธิ์  หรือจะนำไปแยกส่วน (Fractionation) ก่อนก็ได้ ซึ่งจะได้น้ำมันปาล์มที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป

กระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม

กระบวนการผลิตน้ำมันปาล์ม 
โดยทั่วไป น้ำมันปาล์มดิบมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ คือ 

         1. Glycerides  ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์         
         2. Fatty Acids ประมาณ 3 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์
         3. Minor and Trace Component ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งประกอบไปด้วย Phytonutrient ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และสารอื่นๆ เช่น Carotenoid, Tocopherols, Tocotrienols, Sterols, Triterperpene Alcohols, Phospholipids, Glycolipids, Terpenic Hydrocarbons, Waxes และ Impurities และจากกระบวนการสกัดปาล์มน้ำมัน สามารถแบ่งน้ำมันปาล์มตามชนิดของวัตถุดิบที่ใช้สกัดเป็น 2 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ ซึ่งมีองค์ประกอบของกรดไขมันที่แตกต่างกัน โดยน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์ม มีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัว ต่อกรดไขมันไม่อิ่มตัว ในสัดส่วนประมาณ 50 ต่อ 50 และ 82 ต่อ 18 ตามลำดับ

การแยกส่วนและการกลั่นบริสุทธิ์น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์ม

การกลั่นบริสุทธิ์น้ำมันปาล์ม (Refine Processing) 
          การกลั่นบริสุทธิ์น้ำมันปาล์ม เป็นกระบวนการที่ ทำให้น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ 
          กลายเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ และน้ำมันเมล็ดในปาล์มบริสุทธิ์พร้อมสำหรับการบริโภค   ซึ่งกระบวนการกลั่น สามารถแบ่งได้เป็น 2 วิธีการ คือ
          1. วิธีทางกายภาพ (Physical or Steam Refining) เป็นกระบวนการกำจัดกรดไขมันอิสระ โดยการผ่านไอน้ำเข้าไปในน้ำมันร้อน แล้วกลั่นแยกเอากรดไขมันอิสระและสารที่ให้กลิ่นให้ระเหยออกไป จึงเป็นการกำจัดกลิ่นและทำให้น้ำมันเป็นกลางพร้อมๆ กัน การกลั่นน้ำมันปาล์มโดยวิธีทางกายภาพ  ทำได้โดยการเตรียมน้ำมันปาล์มดิบหรือน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบที่ไม่มีฟอสโฟลิปิด ที่ผ่านการกำจัดออกด้วยน้ำ แล้วทำปฏิกิริยาด้วยกรดฟอสฟอริก ความเข้มข้น 80 ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ประมาณ 0.05 ถึง 0.2 เปอร์เซ็นต์ของน้ำมันปาล์มดิบ ผสมกับน้ำมันที่อุณหภูมิ 90 ถึง 100 องศาเซลเซียส  ระยะเวลานาน 15 ถึง 30 นาที จากนั้นจึงเติมผงฟอกสี (Bleaching Earth) ประมาณ 0.8 ถึง 2.0 เปอร์เซ็นต์ของน้ำมันปาล์มดิบ และฟอกสีภายใต้สภาพสุญญากาศที่อุณหภูมิ 95 ถึง 100 องศาเซลเซียส ระยะเวลานาน 30 ถึง 45 นาที จากนั้นจึงนำน้ำมันปาล์มไปผ่านเข้าเครื่องกรอง ก็จะได้น้ำมันที่ไม่มีฟอสโฟลิปิด และทำการกลั่นโดยใช้ไอน้ำที่อุณหภูมิน้ำมัน 240 ถึง 270 องศาเซลเซียส ระยะเวลานาน 1 ถึง 2 ชั่วโมง ภายใต้สภาพสุญญากาศ จะได้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (Refined Bleached and Deodorized Palm Oil, RBD PO) หรือน้ำมันเมล็ดในปาล์มบริสุทธิ์ (Refined Bleached and Deodorized Palm Kernel Oil, RBD PKO) 

          2. วิธีทางเคมี (Chemical Refining) เป็นกระบวนการกำจัดกรดไขมันอิสระโดยการใช้สารเคมี ที่นิยมคือ ใช้สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโซเดียมคาร์บอเนต ทำปฏิกิริยากับกรดไขมันอิสระในน้ำมัน ทำให้เกิดเป็นสบู่ จากนั้นแยกสบู่ออกโดยใช้วิธีการหมุนเหวี่ยง สำหรับความเข้มข้นของด่างที่ใช้ ปริมาณมากหรือน้อยแปรผันไปตามปริมาณของกรดไขมันอิสระในน้ำมันปาล์ม การกลั่นน้ำมันปาล์มด้วยสารละลายด่าง เริ่มต้นด้วยการให้ความร้อนแก่น้ำมันปาล์มดิบที่อุณหภูมิ 80 ถึง 90 องศาเซลเซียส  แล้วเติมกรดฟอสฟอริกความเข้มข้น 80 ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ในปริมาณ 0.05 ถึง 0.2 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นจึงเติมสารละลายด่างซึ่งจะทำให้เกิดสบู่ และแยกสบู่ออกด้วยเครื่องหมุนเหวี่ยง และล้างไขสบู่ด้วยน้ำ จากนั้นจึงให้ความร้อนแก่น้ำมันเพื่อเป็นการไล่น้ำให้ระเหยออก แล้วจึงนำน้ำมันมาฟอกสี และกำจัดกลิ่นด้วยไอน้ำ ก็จะได้น้ำมันปาล์มที่เรียกว่า Neutralized Bleached and Deodorized Palm Oil เป็นน้ำมันปาล์มที่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์แล้ว โดยจะแยกเป็นสองส่วนคือ ส่วนล่างมีลักษณะเป็นไขและส่วนบนมีลักษณะเป็นน้ำมันมีสีเหลืองอ่อนถึงเหลืองเข้ม เนื่องจากน้ำมันที่ได้มีคุณสมบัติทางเคมี และทางกายภาพบางประการที่ไม่เหมาะสมสำหรับการผลิต เป็นผลิตภัณฑ์บางชนิด จึงได้มีการศึกษาการดัดแปรคุณสมบัติ ของน้ำมันปาล์มโดยใช้กระบวนการต่างๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการผลิต เป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายชนิดมากขึ้น และมีผลิตผลที่เป็นผลพลอยได้ที่สำคัญ จากการกลั่นบริสุทธิ์น้ำมันปาล์ม คือ กรดไขมันปาล์ม หรือ Palm Fatty Acid Distillated (PFAD) ซึ่งนิยมใช้เป็นวัตถุดิบในการทำสบู่ อาหารสัตว์ และใช้เป็นสารตั้งต้นในการสกัดกรดไขมันชนิดต่างๆ หรือการสกัดวิตามินอีในอุตสาหกรรมออริโอเคมิคอล 

การดัดแปรไขมันและน้ำมัน (Modification of Fats and Oil) 
          เป็นการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของไขมันและน้ำมัน เป็นการปรับปรุงไขมัน และน้ำมันให้มีความเหมาะสมในการนำไปใช้ประโยชน์ หรือดัดแปร เพื่อให้มีคุณสมบัติที่มีประโยชน์หลากหลายเพิ่มขึ้น  วิธีการดัดแปรหลักมี 3 วิธี คือ
          1. การแยกส่วน (Fractionation) เป็นกระบวนการทางกายภาพ เนื่องจากไขมัน และน้ำมันเป็นส่วนผสมของไตรกลีเซอร์ไรด์หลายชนิด ซึ่งไตรกลีเซอร์ไรด์แต่ละชนิดจะมีจุดหลอมเหลวต่างกัน จึงทำให้ไขมันและน้ำมันมีจุดหลอมเหลวเป็นช่วง ในการดัดแปรด้วยวิธีแยกส่วน จะใช้สมบัตินี้ในการแยกไขมันที่มีจุดหลอมเหลวต่างกัน น้ำมันที่ใช้ในการแยกส่วน คือน้ำมันปาล์มซึ่งมีความเหมาะสมใน การนำมาแยกส่วนเพราะมีส่วนของความอิ่มตัว และไม่อิ่มตัวในสัดส่วนใกล้เคียงกัน การแยกส่วนทำโดยการหลอม หรือละลายไขมันและน้ำมันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วลดอุณหภูมิลงก็จะทำให้น้ำมัน และไขมันเกิดการตกผลึก หลังจากนั้นนำมากรองแยกส่วนจะได้น้ำมัน หรือโอเลอิน และไขมันหรือสเตียริน

วิธีการแยกส่วน แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ

          1.1) Dry Fractionation เป็นวิธีการแยกส่วนโดยใช้วิธีการให้ความร้อนแก่น้ำมันปาล์ม ให้มีอุณหภูมิประมาณ 75 ถึง 90 องศาเซลเซียส เพื่อให้น้ำมันปาล์มหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้น นำไปใส่ในถังตกผลึกทำให้เย็นที่อุณหภูมิ 25 ถึง 30 องศาเซลเซียสอย่างช้าๆ   น้ำมันปาล์มจะฟอร์มผลึก

          สเตียริน จากนั้นแยกผลึกออกโดยใช้เครื่องกรอง (Filter Press) จะได้โอเลอิน (จุดขุ่น 8 องศาเซลเซียส) 60 เปอร์เซ็นต์ และสเตียริน 40 เปอร์เซ็นต์  และถ้าต้องการโอเลอีนที่มีคุณภาพสูง (Super Olein) ต้องแยกส่วนเป็นครั้งที่ 2 โอเลอินที่แยกส่วนในครั้งที่ 2 มีจุดขุ่นต่ำลง (4 องศาเซลเซียส) เช่นเดียวกับสเตียรินเมื่อมีการแยกส่วนจำนวนหลายครั้ง จะได้สเตียรินที่มีค่า IV แตกต่างกันไป ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย สำหรับ PMF (Palm Mid Faction) สามารถนำไปใช้ในการผลิตโกโก้บัตเตอร์ได้

          1.2) Lanza Fractionation ค้นพบโดย Fractelli Lanza  เป็นวิธีการแยกส่วนโดยการเติมสาร Detergents หรือ Wetting Agents  เช่น  Sodium Lauryl Sulphate ในน้ำมันพืช เพื่อทำให้พื้นผิวหน้าของผลึกเปียกและตกตะกอน ผลึกที่เปียกจะชอบน้ำและตกตะกอนในส่วนที่มีน้ำ น้ำจะมีส่วนของไขมัน และน้ำมันหยดใหญ่จะรวมตัวกันใหญ่ขึ้น   โดยจะสังเกตเห็น จำนวน 2 ชั้น   คือชั้นน้ำมันประกอบด้วยน้ำมันโอเลอิน และส่วนชั้นน้ำประกอบด้วยน้ำและสเตียริน วิธีการแยกส่วนแบบนี้เป็นวิธีที่แยกผลึกขนาดเล็กออกได้ง่ายกว่าวิธีการ Dry Fractionation  และใช้ระยะเวลาในการตกผลึกสั้นกว่า

          1.3) Wet Fractionation เป็นวิธีการที่อาศัยความสามารถในการละลายของไขมัน และน้ำมันที่แตกต่างกัน  การแยกส่วนด้วยตัวทำละลายจะทำให้การแยกชัดเจนกว่า เพราะไม่ต้องใช้การตกผลึก แต่ใช้การเปลี่ยนอุณหภูมิและปริมาณตัวทำละลาย  วิธีการทำโดยการผสมตัวทำละลายกับไขมันและปั๊มผ่านไปสู่เครื่องเกิดผลึก  ซึ่งทำให้เย็นที่อุณหภูมิที่จะแยกส่วน ผลึกที่เกิดขึ้นจะถูกกรองแยกออกมา จากนั้นระเหยตัวทำละลายจะได้สเตียริน  ส่วนโอเลอินและตัวทำละลายจะถูกเก็บทันที หรือไม่ก็ปั๊มไปเครื่องเกิดผลึกเพื่อให้ตกผลึกและแยกออกอีก ตัวทำละลายที่นิยมใช้คือ เฮกเซน อะซิโตน และ 2-nitropropane ตัวทำละลายที่แยกส่วนได้ชัดเจนที่สุดคือ อะซิโตน  จากการเปรียบเทียบคุณสมบัติของปาล์มโอเลอินที่ถูกแยกส่วนด้วยวิธีต่างๆ พบว่าการแยกส่วนแบบ Lanza จะให้ผลผลิตสูงที่สุดและมีจุดที่มีของแข็งต่ำที่สุด น้ำมันปาล์มโอเลอินที่ได้มีกรดไขมันอิสระต่ำ และมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าวิธีอื่นๆ

2. การอินเทอร์เอสเทอริฟิเคชัน (Interesterification) เป็นกระบวนการทางเคมีและกายภาพ โดยเป็นปฏิกิริยาของไขมันและน้ำมัน หรือสารที่ประกอบด้วย Fatty Acid Esters กับกรดไขมัน  แอลกอฮอล์หรือเอสเทอร์อื่นที่มีการแลกเปลี่ยนกรดไขมัน ทำให้เกิดเอสเทอร์ ชนิดใหม่ ผลจากการอินเทอร์เอสเทอริฟายน์ทำให้คุณสมบัติไขมัน และน้ำมันเปลี่ยนแปลงไปจะเปลี่ยนแปลงมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ และการจัดเรียงตัวของกรดไขมัน และสภาวะที่เหมาะสม ไขมันและน้ำมันที่ผ่านการอินเทอร์เอสเทอริฟายน์ จะทำให้จุดหลอมเหลวของน้ำมันเปลี่ยนแปลงไปโดยมีค่าเพิ่มสูงขึ้น และมีปริมาณของแข็งเพิ่มขึ้นที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดหลอมเหลวของน้ำมัน ก่อนการอินเทอร์เอสเทอริฟายน์ ปฏิกิริยานี้จะเกิดได้นั้น จะต้องมีการให้ความร้อนไขมันและน้ำมันมากกว่า 250 องศาเซลเซียส ซึ่งทำได้ยาก จึงต้องมีการใช้สารเร่งปฏิกิริยา เช่น SodiumMethoxide, Sodium Ethoxide, Sodium Metal หรือ Sodium-Potassium Alloy โดยใช้จำนวนประมาณ 0.01 ถึง 0.1 เปอร์เซ็นต์ และสามารถหยุดปฏิกิริยาได้ด้วยน้ำวิธีการนี้ใช้ดัดแปรเพื่อให้ได้ไขมันและน้ำมันที่จะนำไปใช้เฉพาะอย่าง หรือเป็นการปรับสมบัติของน้ำมันให้เหมาะสมมากขึ้น การเลือกวัตถุดิบจึงมีความจำเป็น  เพื่อให้ได้องค์ประกอบของกรดไขมันตามที่ต้องการ    ไขมันและน้ำมันที่จะทำอินเทอร์เอสเทอริฟายน์ จะต้องผ่านการกำจัดกรดไขมันอิสระ ทำให้เป็นกลางและมีความแห้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการยับยั้งสารเร่งปฏิกิริยา และอาจจะไม่ต้องฟอกสีก็ได้ เพราะน้ำมันจะมีสีเข้มขึ้น เมื่อผ่านการอินเทอร์เอสเทอริฟายน์  จึงควรฟอกสีในภายหลัง และนำไปกำจัดกลิ่นต่อไป การกำจัดสารเร่งปฏิกิริยาออกเนื่องจากเป็นพิษ หรือมีผลเสียต่ออายุการเก็บ แต่สามารถทำได้โดยการรีไฟน์แต่จะเกิดการสูญเสียได้  จึงอาจเติมกรดฟอสฟอริก เพื่อทำลายสบู่ แล้วเติมสารช่วยกรองกวนผสม หลังจากนั้นกรองสารเร่งปฏิกิริยาออก

          3. การทำไขมันแข็ง (Hardening) หรือเติมไฮโดรเจน (Hydrogenation) เป็นกระบวนการทางเคมีในรูปแบบของการดัดแปรไขมันและน้ำมัน ซึ่งอาจจะทำวิธีเดียวหรือผสมก็ได้เพื่อจะทำให้ไขมันและน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลง คุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์  เป็นการปรับปรุงบทบาทและหน้าที่ของไขมันและน้ำมัน เช่น การเติมไฮโดรเจนเล็กน้อยเพื่อลดปริมาณกรดลิโนเลนิค เป็นการปรับปรุงให้น้ำมันมีความคงตัวเพิ่มขึ้น หรือการผสมน้ำมันเมล็ดในปาล์มที่มีจุดหลอมเหลวต่ำกับน้ำมันปาล์ม และน้ำมันฝ้ายที่ผ่านการทำไขมันแข็ง และดัดแปรน้ำมันผสมด้วยวิธีอินเทอร์เอสเทอริฟิเคชัน จะได้ไขมันที่มีจุดหลอมเหลวสูง สามารถใช้แทนโกโก้บัตเตอร์ ใช้เคลือบคุกกี้ และเติมชอคโกแลตได้ ซึ่งการทำไขมันแข็งเป็นการเติมไฮโดรเจนที่เป็นพันธะคู่ เพื่อทำให้น้ำมันเปลี่ยนเป็นไขมันแข็ง และลดจำนวนพันธะคู่ลง ทำให้น้ำมันที่ได้ มีความคงตัวต่อการเหม็นหืน ป้องกันการเกิดกลิ่น เนื่องจากกรดลิโนเลนิก และทำให้น้ำมันมีสีอ่อน การเติมไฮโดรเจนจะต้องมีสารเร่งปฏิกิริยา ที่นิยมใช้คือ นิเกิล (Nickle) ซึ่งมีลักษณะเป็นของแข็งอยู่กับ Supportor ที่มีลักษณะโปร่งเป็นโพรง และคงรูปร่างแข็งแรงถึงแม้จะได้รับความร้อนสูง ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการเติมไฮโดรเจนคือ อุณหภูมิ ความดัน การเคลื่อนย้ายของมวลสาร หรือการกวน สารเร่งปฏิกิริยาทั้งชนิด สภาพ และความเข้มข้น ระยะเวลา และสารตั้งต้น สภาวะการเติมไฮโดรเจนจะมีผลต่อปริมาณ Trans Isomer และการควบคุมสภาวะ เพื่อให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพตามต้องการเป็นสิ่งสำคัญ หากมีน้ำในน้ำมัน จะมีผลทำให้ยับยั้งการทำงานของนิเกิล และทำให้น้ำมันเกิดการแตกตัว มีปริมาณกรดไขมันอิสระสูงเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสบู่และสารอื่นๆ ที่จัดเป็นสารที่มีพิษต่อสารเร่งปฏิกิริยา (Catalyst Poison) เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และคลอรีน คุณสมบัติของน้ำมันที่ผ่านการทำไขมันแข็ง หากมีลักษณะเป็น Semiliquid และ Soft Fat จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมขนมอบและขนมหวาน ส่วน Soft Fat นิยมนำใช้ในอุตสาหกรรมการทอดที่ใช้น้ำมันในปริมาณมาก (Deep Frying) คุณค่าทางโภชนาการของน้ำมันที่ผ่านการทำไขมันแข็งจะมีการย่อยที่ไม่แตกต่างกัน
อุตสาหกรรมต่อเนื่อง 
          ปาล์มน้ำมันกับพลังงานชีวมวล กากปาล์มน้ำมันที่ได้จากการสกัดน้ำมันปาล์มดิบทั้งในส่วนของเส้นใย กะลาและทะลายเปล่านั้น สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ เรียกว่า “ชีวมวล” พลังงานชีวมวลเป็นพลังงานที่สะสมอยู่ในพืช โดยพืชจะเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์มาเก็บไว้ในส่วนต่างๆ เช่น ต้นปาล์มน้ำมันจะสะสมพลังงานไว้ทุกส่วน ตั้งแต่ผลปาล์ม เส้นใย กะลาปาล์ม และทะลายปาล์มเปล่า ดังนั้น เศษเหลือใช้ของต้นปาล์มน้ำมัน จึงสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง เพื่อให้พลังงานได้ เรียกว่า “พลังงานชีวมวล”

   

 

<< Go Back