ระบบประสาท
๑. ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System)
ประกอบด้วยสมอง (Brain) และไขสันหลัง (Spinal Cord) โดยไขสันหลังทำหน้าที่รับ-ส่งกระแสประสาทรับความรู้สึกไปยังสมอง เพื่อแปลผลวิเคราะห์ข้อมูลและส่งงานผ่านไขสันหลังไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกายทำให้เกิดการปฏิบัติงานระบบสมอง (Brain)
๒. ระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nervous System) ประกอบด้วยเส้นประสาทสมอง เส้นประสาทไขสันหลัง ระบบประสาทอัตโนมัติ ปมประสาท และปลายประสาท ทำหน้าที่ รับ-ส่งกระแสประสาทส่วนกลางไปยังเซลล์ตัวอื่นๆ ตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
ระบบประสาท (Nervous system)
การทำงานของระบบประสาท
ประกอบด้วย
๑. อวัยวะรับความรู้สึก (Sense Organs)วิธีการดูแลรักษาระบบประสาทให้ทำงานตามปกติ
๑. รับประทานอาหารครบส่วน ครบหมู่ ได้แก่ ๑.๑ อาหารหมู่ที่ ๑ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ นม อาหารทะเล และถั่วเมล็ดแห้ง ๑.๒ อาหารหมู่ที่ ๒ ข้าว แป้ง น้ำตาล ๑.๓ อาหารหมู่ที่ ๓ ได้แก่ ผักต่างๆ ๑.๔ อาหารหมู่ที่ ๔ ได้แก่ ผลไม้ต่างๆ ๑.๕ อาหารหมู่ที่ ๕ ไขมันจากพืชและสัตว์ ๒. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะการนอนหลับ ควรเข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นนอนตั้งแต่เช้า จะทำให้สมองเจริญเติบโตเต็มที่ เวลานอนที่ดีที่สุด คือตั้งแต่เวลา ๒๑.๐๐ น. - ๐๕.๐๐ น. ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จะหลั่งออกมาในสมองมากที่สุด ๓. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยการทำงานระบบประสาทและกล้ามเนื้อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมการออกกำลังกายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการประสานการทำงานระหว่างประสาทกับกล้ามเนื้อหรือกลไกของทักษะกีฬาต่างๆ ๔. สังเกตหรือสำรวจความผิดปกติของระบบประสาท เช่น อาการปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา ซึม หรือหมดสติ ชัก ๕. ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ ๖. ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาท อาจทำให้เป็นอัมพาต หรือหลับตลอดชีวิต กลายเป็นเจ้าหญิง หรือ เจ้าชาย นิทรา วัยรุ่นเป็นวัยที่ระบบต่างๆ ในร่างกายอยู่ในระหว่างการพัฒนาให้เจริญเติบโตจึงต้องคอยดูแลเอาใจใส่ตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของระบบต่อมไร้ท่อ
ต่อมไร้ท่อ๑. ต่อมใต้สมองหรือต่อมพิจูอิททารี(Pituitary Gland)
เป็นต่อมไร้ท่อ ตั้งอยู่ในกะโหลกศีรษะใต้สมอง ที่มีขนาดเล็ก แต่มีความสำคัญมากที่สุด นอกจากจะผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย(Growth Hormone) โดยเฉพาะกระดูกและกล้ามเนื้อ ต่อมใต้สมองแบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ๑.๑ ต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Lobe of Pituitary Gland) ผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ และควบคุมการทำงานการเจริญเติบโตของร่างกาย ๑.๒ ต่อมใต้สมองส่วนหลัง ผลิตฮอร์โมนออกซีโทซิน (Oxytocin) ทำหน้าที่กระตุ้นมดลูกให้บีบตัวขณะคลอดบุตร และกระตุ้นต่อมน้ำนมให้หลั่งหลังการคลอดบุตร ในเพศชายจะช่วยในการหลั่งอสุจิ และช่วยในการเคลื่อนที่ของอสุจิ และฮอร์โมนวาโซเพรสซิน (Vasopressin) ช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย และการขับปัสสาวะ กระตุ้นและควบคุมการบีบตัวของกล้ามเนื้อหลอดเลือดแดงทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น ๒. ต่อมไทรอยด์(Thyroid gland) ตั้งอยู่ด้านหน้าของลำคอมีลักษณะเหมือนผีเสื้อ ผลิตฮอร์โมนชื่อว่า ไทรอกซิน (Thyroxine) โดยใช้ธาตุไอโอดีนเป็นตัวสร้าง ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก สมอง ระดับสติปัญญา และระบบประสาท ช่วยเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่ ฮอร์โมนไทรอกซินช่วยควบคุมการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติทำให้ร่างกายมีไทรอกซินน้อยเกินไป จะทำให้มีร่างกายเตี้ย เล็ก แคระแกรน พูดช้า โตช้า พุงยื่น ปัญญาอ่อน ในผู้ใหญ่มีอาการ บวมที่มือ เท้า ใบหน้า ผิวแห้งตกสะเก็ด ความจำเสื่อม เกิดการอักเสบขึ้นที่บริเวณตอมซึ่งเรียกว่า "โรคคอพอก" นั่นเอง ถ้าไทรอกซินมากไป ร่างกายจะซูบผอม น้ำหนักลด กินจุ อ่อนแอ ตอบสนองสิ่งเร้าไวขึ้น เกิดโรคคอพอกเป็นพิษ ๓. ต่อมพาราไทรอยด์(Parathyroid gland) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความสมดุลของธาตุแคลเซี่ยม และฟอสฟอรัส ในกระแสเลือดให้คงที่ ๔. ต่อมหมวกไต(Adrenal gland) ลักษณะเป็นก้อนสีเหลืองๆ คล้ายรูปสามเหลี่ยมหรือรูปพระจันทร์เสี้ยว อยู่ส่วนบนของไตทั้ง ๒ ข้าง ข้างละ ๑ ต่อม ผลิตฮอร์โมนอะดรีนะลิน (Adrenalin) เมื่อเวลาเกิดความรู้สึกกลัว ตกใจ หรือ โกรธ ต่อมนี้จะผลิตฮอร์โมนออกมามากกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อมีแรงมากขึ้น ผลักดันให้ร่างกายพร้อมที่จะสู้ หรือวิ่งหนี นอกจากนี้ต่อมหมวกไตยังผลิตฮอร์โมนเพศชายมากกว่า ในเพศหญิง ถ้าต่อมนี้ทำงานผิดปกติ จะทำให้เด็กชายมีพัฒนาการทางเพศเร็วขึ้น เด็กหญิงมีลักษณะพัฒนาการทางเพศค่อนไปทางเด็กผู้ชาย ๕. ตับอ่อน(Pancreas) เป็นส่วนของต่อมไร้ท่อที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของกระเพาะอาหาร ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ คือ อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด โดยเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นไกลโคเจน เก็บไว้ที่ตับ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระดับปกติ ถ้าตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ตามปกติก็จะทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิดเป็นโรคเบาหวาน แต่ถ้าผลิตอินซูลินมากเกินไป ปริมาณน้ำตาลในเลือดจะต่ำกว่าปกติทำให้หิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกมาก พูดจาสับสน เป็นต้น ๖. ต่อมเพศ(Gonad gland) ในเพศชายคืออัณฑะ ในเพศหญิงคือรังไข่ อยู่ในช่องท้องส่วนล่างมีหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์และฮอร์โมนที่มีอิทธิพลต่อการควบคุมและพัฒนาการทางเพศ ๖.๑ ต่อมเพศชายหรืออัณฑะ มีหน้าที่ผลิตอสุจิและฮอร์โมนเทสทอสเทอโรน(Testosterone) ควบคุมการเจริญเติบโตของอวัยวะเพศชายและลักษณะทั่วไปของชาย ได้แก่มีหนวดเครา มีขนตามหน้าอก รักแร้ หน้าแข้ง กล้ามเนื้อแข็งแรง การหลั่งอสุจิและพัฒนาการด้านจิตใจ มีความต้องการทางเพศเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ๖.๒ ต่อมเพศหญิง หรือรังไข่ มีหน้าที่ผลิตไข่ และฮอร์โมนเอสโตรเจน และ โพรเจสเทอโรน (Estrogen and Progesterone) ควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของอวัยวะเพศหญิง ได้แก่ การมีหน้าอก เต้านมโตขึ้น สะโพกขยาย มีขนขึ้นที่รักแร้และอวัยวะเพศ มีการตกไข่และมีประจำเดือน นอกจากนั้น ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำหน้าที่หยุดการตกไข่ไม่ให้ไข่สุกระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการมีประจำเดือนระหว่างตั้งครรภ์ ๗. ต่อมไพเนียล(Pineal gland) ตั้งอยู่ในสมอง เป็นต่อมเล็กๆ รูปไข่หรือกรวย มีหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ไม่ให้เจริญเติบโตเร็วกว่าปกติ ควบคุมมิให้เด็กมีความรู้สึกทางเพศเร็วเกินไป ๘. ต่อมไทมัส(Thymus gland) ตั้งอยู่ในทรวงอกส่วนบน ในเด็กต่อมนี้จะมีขนาดใหญ่ แต่พอโตขึ้นจะเล็กลง และเมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ต่อมนี้จะค่อยๆ หายไป ต่อมนี้ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิกันโรคให้กับร่างกาย อย่างไรก็ตาม การหลั่งของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายต้องผ่านศูนย์ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนไฮโพทาลามัส ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของสมองส่วนล่าง โดยมีเส้นประสาทจำนวนมากจากไฮโพทาลามัส เชื่อมต่อกับสมองและไขสันหลัง อวัยวะนี้เปรียบเสมือนตัวเชื่อมระหว่างระบบประสาทอัตโนมัติและต่อมไร้ท่อ ไฮโพทาลามัส เป็นศูนย์กลางควบคุมความรู้สึกหิวกระหาย การหลับและการตื่น และยังมีบทบาทสำคัญในระบบการทำงานที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ รวมถึงการควบคุมระดับอุณหภูมิของร่างกาย ความต้องการทางเพศ การมีรอบเดือนในเพศหญิง และยังควบคุมการทำงานของต่อมพิจูอิทารี ด้วย การดูแลรักษาระบบต่อมไร้ท่อให้ทำงานตามปกติ ควรปฏิบัติ ดังนี้ ๑. รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อต่อมไร้ท่อ ได้แก่ อาหารที่มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และไอโอดีน ๒. ออกกำลังกายด้วยกิจกรรมที่เหมาะสมกับเพศและวัย ๓. พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับให้ครบ ๘ ชั่วโมง ๔. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับต่อมไร้ท่อ เช่น การหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด การรับประทานยาที่อาจมีผลกับต่อมไร้ท่อ ๕. สังเกตและสำรวจสภาพร่างกายของตนสม่ำเสมอ วัยรุ่นกับการเจริญเติบโตตามเกณฑ์มาตรฐาน 1. ภาวะการเจริญเติบโตและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของวัยรุ่น การเจริญเติบโตของวัยรุ่นนั้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกบางคนเจริญเติบโตช้า บางคนเจริญเติบโตเร็ว และในขณะที่บางคนก็มีการเจริญเติบโตที่สมวัย 1.1 ภาวะการเจริญเติบโตของวัยรุ่น การเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น เป็นผลมาจากการทำงานของฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อ ซึ่งควบคุมกลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตทั้งขนาดและรูปร่าง โดยการเจริญเติบโตที่เราสามารถสังเกตได้นั้น มีดังนี้ 1.1.1 มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะน้ำหนักและส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น ทำให้วัยรุ่นจำนวนมากไม่สามารถที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทัน จึงส่งผลให้เกิดความแปรปรวนทางอารมณ์ได้ง่าย 1.1.2 เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ หรือการมีวุฒิภาวะทางเพศ คือ ในวัยรุ่นชายจะมีการเคลื่อนตัวของอสุจิ ที่เรียกว่า "ฝันเปียก" ส่วนในวัยรุ่นหญิงนั้นจะมี "ประจำเดือน" ตลอดจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่บ่งบอกถึงลักษณะเฉพาะของการเป็นเพศหญิง และเพศชาย 1.1.3 เริ่มมีการค้นหาตนเอง โดยมีแรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญ ชอบเก็บตัวอยู่กับบ้าน แต่ชอบรวมกลุ่มเมื่ออยู่กับเพื่อน ซึ่งในวัยรุ่นนี้เพื่อนจะมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตอย่างมาก และในขณะเดียวกันการเชื่อฟัง พ่อแม่ก็ลดน้อยลง 1.1.4 เริ่มมีวิจารณญาณในการคิดและตัดสินใจมากขึ้น สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดี หรืออะไรไม่ดี 1.1.5 ยึดถือตัวเองเป็นสำคัญ มีความคิด ความเข้าใจที่เป็นของตัวเองมากขึ้น มักต่อต้านในสิ่งที่เห็นว่าไม่ยุติธรรม จนทำให้ในบางครั้งเป็นผลทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยกับผู้ใหญ่ขึ้นได้ 1.2 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของวัยรุ่น การที่วัยรุ่นมีความแตกต่างกันในการเจริญเติบโตและพัฒนาการนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 กลุ่ม ดังนี้ 1.2.1 ปัจจัยภายใน หมายถึง ปัจจัยที่มีอยู่แล้วภายในร่างกายของมนุษย์ แล้วส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น ประกอบด้วย 1) พันธุกรรม เป็นการถ่ายทอดลักษณะเฉพาะต่างๆ จากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลาน ทำให้มนุษย์มีลักษณะบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นพันธุกรรมจึงเป็นเครื่องกำหนดขอบเขต ลักษณะ และความสามารถของบุคคล ซึ่งลักษณะทั่วไปของการถ่ายทอดทาง พันธุกรรม2. เกณฑ์มาตรฐานที่เป็นกราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต
เป็นการนำข้อมูลตัวเลขมาแสดงด้วยกราฟ โดยการจุดข้อมูลต่างๆ ลงบนกราฟแล้วเชื่อมโยงข้อมูลแต่ละจุด เพื่อแสดงระดับการเจริญเติบโตและแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณะสุข ได้จัดทำกราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเพศชายและเพศหญิง อายุ 5 - 18 ปี เพื่อใช้ในการประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กวัยเรียนและเด็กวัยรุ่น ดังนี้ 1. กราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต ของเพศชาย อายุ 5 - 18 ปี เปรียบเทียบน้ำหนักกับส่วนสูง
2. กราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต ของเพศชาย อายุ 5 - 18 ปี เปรียบเทียบส่วนสูงกับอายุ
3. กราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต ของเพศหญิง อายุ 5 - 18 ปี เปรียบเทียบน้ำหนักกับส่วนสูง
4. กราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต ของเพศหญิง อายุ 5 - 18 ปี เปรียบเทียบส่วนสูงกับอายุ
จากเกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตทั้งที่เป็นข้อมูลตัวเลข และกราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตดังกล่าวข้างต้น นักเรียนสามารถนำมาใช้ประเมินเพื่อเปรียบเทียบกับ อายุ น้ำหนัก และส่วนสูงของตนเองได้ ซึ่งนักเรียนควรจะประเมินภาวะการเจริญเติบโตของตนเอง ด้วยการซึ่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง การประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางกายมี 3 วิธี ดังนี้ 2.1 การประเมินน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ เป็นการเปรียบเทียบน้ำหนักที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุต่างๆ หากเด็กมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์อายุ ก็จะบ่งชี้ถึงปัญหาการขาดสารอาหารประเภทโปรตีนและพลังงาน ซึ่งมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตโดยรวม 2.2 การประเมินส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ เป็นการเปรียบเทียบส่วนสูงที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุต่างๆ หากเด็กมีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์อายุ ก็จะบ่งชี้ว่าเด็กมีการขาดสารอาหารอย่างยาวนาน ซึ่งส่วนใหญ่การขาดสารอาหารมักจะมีความสัมพันธ์กับฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวของเด็ก 2.3 การประเมินน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงในวงการแพทย์ ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) การหาค่าดัชนีมวลกาย นอกจากการใช้เกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต เพื่อสำรวจการเจริญเติบโตของตนเองว่าเปลี่ยนไปตามเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ สำหรับผู้ใหญ่อาจสามารถประเมินได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ คำนวณหาค่า ดัชนี มวลกาย (Body mass index : BMI) ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยนำน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลัง 2 เช่น นาย ก. สูง 1.68 เมตร หนัก 68 กก. ค่า BMI เท่ากับ 68/1.682 = 20.24 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ซึ่งผู้ที่มีน้ำหนักเกิน มีแนวโน้มว่าจะเกิดความผิดปกติต่อร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน ข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน และในคนที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือผอมมาก ๆ อาจทำให้ภูมิต้านทานโรคต่ำได้ 3. การส่งเสริมและพัฒนาตนเองให้เจริญเติบโตสมวัย การส่งเสริมและพัฒนาตนเองให้เจริญเติบโตสมวัย เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในแต่ละวัยให้เหมาะสม โดยการปลูกฝังพฤติกรรมการปฏิบัติที่ถูกต้อง ตลอดจนทราบแนวทางการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นนำไปสู่การดำรงชีวิตที่มีความสุข ปัจจัยส่งเสริมและพัฒนาตนเองให้มีการเจริญเติบโตสมวัยที่สำคัญ ดังนี้ 3.1 การรู้จักพฤติกรรมของมนุษย์ มนุษย์แต่ละคนแต่ละวัยนั้น ย่อมมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเรียนรู้ ค่านิยม เจตคติ แรงจูงใจ ฯลฯ ต่อพัฒนาการของคนจะช่วยทำให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติและพฤติกรรมที่แสดงต่อกัน ทั้งในพฤติกรรมที่ดีและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น 3.2 การรู้จักตนเองและผู้อื่น การรู้จักตนเองและผู้อื่น การเข้าใจตนเอง การยอมรับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การรู้จักปรับปรุงแก้ไข การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น การยกย่องผู้อื่น การพัฒนาบุคลิกภาพ การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่น ตลอดจนยอมรับผู้อื่นได้ 3.3 การทำงานร่วมกัน การอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข ต้องอาศัยการอยู่ร่วมกัน การรู้จักทำงานร่วมกัน รู้จักสร้างทีมงาน รู้จักขจัดปัญหาความขัดแย้ง การสร้างภาวะผู้นำและผู้ตามที่ดี ซึ่งการฝึกการทำงานร่วมกันตั้งแต่เยาว์วัย นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาตนเองให้อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้แล้วยังเป็นการช่วยพัฒนาบุคคลในสังคมให้เกิดการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้สามารถที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ด้วยสันติวิธีโดยไม่ใช้ความรุนแรง 3.4 การพัฒนากายและจิต กายและจิตเป็นสั่งที่สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง แนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาตนเองให้เจริญเติบโตสมวัยนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนากายและจิตคู่กัน ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นต้น 4. สุขบัญญัติแห่งชาติเพื่อการเจริญเติบโตที่สมวัย การมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเราทุกคนควรมีความรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพของตัวเราเอง โดยการมีพฤติกรรมสุขภาพกายที่ถูกต้องรวมทั้งชักชวนให้บุคคลในครอบครัวปฏิบัติให้เป็นกิจนิสัย ทั้งนี้ในการดูแลสุขภาพของบุคคลให้มีการเจริญเติบโตตามเกณฑ์มาตรฐานนั้น รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ เพื่อการมีสุขอนามัยที่ดี ด้วยการประกาศใช้ "สุขบัญญัติแห่งชาติ" ให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปยึดเป็นแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน ตลอดจนเป็นบรรทัดฐานสำหรับการปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง โดยเน้นให้เกดการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ แนวทางในการปฏิบัติตนตามหลักสุขปฏิบัติแห่งชาติ 5. ประโยชน์และคุณค่าของสุขบัญญัติแห่งชาติต่อสุขภาพ ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้านั้นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ ประชากรต้องมีสุขภาพดี สุขบัญญัติแห่งชาติก็เป็นแนวทางหนึ่งที่สร้างเสริมปละปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนนำไปปฏิบัติ เพื่อการมีสุขภาพที่ดี ประโยชน์และคุณค่าของสุขบัญญัติแห่งชาติที่มีต่อประชาชนผู้นำไปปฏิบัติ มีดังนี้ 5.1 สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงให้เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ต่อสุขภาพที่ควรปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 5.2 สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพของตนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ 5.3 เป็นการสร้างความตระหนัก และการมีจิตสำนึกในการรู้จักพึ่งตนเองทางสุขภาพ 5.4 เป็นการปลูกฝังการเรียนรู้ทางสุขภาพอย่างต่อเนื่องในทุกเพศทุกวัย โดยส่งผลให้เกิดพฤติกรรมในการป้องกันโรคภัยไข้ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายอย่างถูกต้องและเหมาะสม 5.5 เป็นการเสริมสร้างและปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง นำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีทั้งทางร่างกาย จิตใจ ปัญญา และสังคม