ระบบประสาท ประกอบด้วยสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาท ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและประสานการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายให้ดำเนินไปด้วยดี โดยมีมันสมองเป็นอวัยวะหลัก ดังนั้น ระบบประสาทจึงมีความสำคัญต่อร่างกาย คือ เป็นตัวควบคุมการทำงานและรับความรู้สึกของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย รวมถึงความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และความทรงจำต่างๆ ซึ่งเมื่อได้รับการกระตุ้นจากภายในและภายนอก จะมีการส่งกระแสประสาทกลับไปกลับมาระหว่างสมองและอวัยวะส่วนต่างๆ ทำให้ทำงานตามที่ต้องการ เช่น การเคลื่อนไหวของอวัยวะในอิริยาบถต่างๆ การกระพริบตา หรือส่งการให้กล้ามเนื้อมัดต่างๆ ทำงาน นอกจากนั้นยังควบคุมการเต้นของหัวใจอัตราการหายใจ ความดันเลือด อุณหภูมิในร่างกาย การย่อยอาหารและระบบอื่นๆ ของร่างกาย โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ

     ๑.  ระบบประสาทส่วนกลาง  (Central Nervous System)

          ประกอบด้วยสมอง (Brain) และไขสันหลัง (Spinal Cord) โดยไขสันหลังทำหน้าที่รับ-ส่งกระแสประสาทรับความรู้สึกไปยังสมอง เพื่อแปลผลวิเคราะห์ข้อมูลและส่งงานผ่านไขสันหลังไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกายทำให้เกิดการปฏิบัติงาน

 

ระบบสมอง (Brain)

     ๒. ระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nervous System)           ประกอบด้วยเส้นประสาทสมอง เส้นประสาทไขสันหลัง ระบบประสาทอัตโนมัติ ปมประสาท และปลายประสาท ทำหน้าที่ รับ-ส่งกระแสประสาทส่วนกลางไปยังเซลล์ตัวอื่นๆ ตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

 

ระบบประสาท (Nervous system)

 

การทำงานของระบบประสาท

          ประกอบด้วย

                    ๑. อวัยวะรับความรู้สึก (Sense Organs) รับความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดจากการสัมผัส ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ

                    ๒. เส้นประสาท (Nerves) ทำหน้าที่รับและส่งกระแสประสาท หรือกระแสความรู้สึกต่างๆ ของร่างกายผ่านเข้าสู่ไขสันหลังไปยังสมอง และจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย

                    ๓. สมอง (Brain) และไขสันหลัง (Spinal Cord) สมอง ควบคุมความคิด ความจำ และความรู้สึก เช่น การเห็น การได้ยิน กลิ่น รส และสัมผัส ส่วนไขสันหลังจะเป็นทางผ่านของกระแสประสาทสู่อวัยวะท่อนล่าง

                    ๔. ประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous) ควบคุมการย่อยอาหาร การเต้นของหัวใจ และกิจกรรมอื่นๆ ที่มิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของประสาทส่วนกลาง ถ้าระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ อาจจะทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วหรือช้าเกินไป ความดันโลหิตต่ำหรือสูง ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ ทำให้เกิดอาการ เช่น ท้องผูกหรือท้องเสีย ท้องอืด อาหารไม่ย่อย เป็นต้น

 

วิธีการดูแลรักษาระบบประสาทให้ทำงานตามปกติ

          ๑. รับประทานอาหารครบส่วน ครบหมู่ ได้แก่

               ๑.๑ อาหารหมู่ที่ ๑ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ นม อาหารทะเล และถั่วเมล็ดแห้ง

               ๑.๒ อาหารหมู่ที่ ๒ ข้าว แป้ง น้ำตาล

               ๑.๓ อาหารหมู่ที่ ๓ ได้แก่ ผักต่างๆ

               ๑.๔ อาหารหมู่ที่ ๔ ได้แก่ ผลไม้ต่างๆ

               ๑.๕ อาหารหมู่ที่ ๕ ไขมันจากพืชและสัตว์

          ๒. พักผ่อนให้เพียงพอ

               โดยเฉพาะการนอนหลับ ควรเข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นนอนตั้งแต่เช้า จะทำให้สมองเจริญเติบโตเต็มที่ เวลานอนที่ดีที่สุด คือตั้งแต่เวลา ๒๑.๐๐ น. - ๐๕.๐๐ น. ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จะหลั่งออกมาในสมองมากที่สุด

          ๓. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยการทำงานระบบประสาทและกล้ามเนื้อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมการออกกำลังกายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการประสานการทำงานระหว่างประสาทกับกล้ามเนื้อหรือกลไกของทักษะกีฬาต่างๆ

          ๔. สังเกตหรือสำรวจความผิดปกติของระบบประสาท เช่น อาการปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา ซึม หรือหมดสติ ชัก

          ๕. ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ

          ๖. ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาท อาจทำให้เป็นอัมพาต หรือหลับตลอดชีวิต กลายเป็นเจ้าหญิง หรือ เจ้าชาย นิทรา วัยรุ่นเป็นวัยที่ระบบต่างๆ ในร่างกายอยู่ในระหว่างการพัฒนาให้เจริญเติบโตจึงต้องคอยดูแลเอาใจใส่ตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

ความสำคัญของระบบต่อมไร้ท่อ

          ต่อมไร้ท่อ มีความสำคัญต่อร่างกายในการควบคุมอวัยวะภายในร่างกายให้ทำงานสัมพันธ์กันและควบคุมการทำงานของร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล โดยการสร้างและหลั่งสารเคมีที่เรียกว่า ฮอร์โมน(Hormone) ฮอร์โมนที่ถูกคุม เช่นผลิตจากต่อมไร้ท่อจะถูกส่งไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยการลำเลียงไปกับน้ำเลือด ระบบต่อมไร้ท่อเป็นระบบที่มีการทำงานแบบประสานควบคุม เช่นเดียวกับระบบประสาท ต่อมไร้ท่อในร่างกายมีหลายค่อม ซึ่งจะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่แตกต่างกันออกไป และมีผลกับการทำงานของร่างกายได้แก่

               ๑. ต่อมใต้สมองหรือต่อมพิจูอิททารี(Pituitary Gland)

                    เป็นต่อมไร้ท่อ ตั้งอยู่ในกะโหลกศีรษะใต้สมอง ที่มีขนาดเล็ก แต่มีความสำคัญมากที่สุด นอกจากจะผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย(Growth Hormone) โดยเฉพาะกระดูกและกล้ามเนื้อ ต่อมใต้สมองแบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่

                    ๑.๑ ต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Lobe of Pituitary Gland) ผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ และควบคุมการทำงานการเจริญเติบโตของร่างกาย

                    ๑.๒ ต่อมใต้สมองส่วนหลัง ผลิตฮอร์โมนออกซีโทซิน (Oxytocin) ทำหน้าที่กระตุ้นมดลูกให้บีบตัวขณะคลอดบุตร และกระตุ้นต่อมน้ำนมให้หลั่งหลังการคลอดบุตร ในเพศชายจะช่วยในการหลั่งอสุจิ และช่วยในการเคลื่อนที่ของอสุจิ และฮอร์โมนวาโซเพรสซิน (Vasopressin) ช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย และการขับปัสสาวะ กระตุ้นและควบคุมการบีบตัวของกล้ามเนื้อหลอดเลือดแดงทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น

               ๒. ต่อมไทรอยด์(Thyroid gland)

                    ตั้งอยู่ด้านหน้าของลำคอมีลักษณะเหมือนผีเสื้อ ผลิตฮอร์โมนชื่อว่า ไทรอกซิน (Thyroxine) โดยใช้ธาตุไอโอดีนเป็นตัวสร้าง ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก สมอง ระดับสติปัญญา และระบบประสาท ช่วยเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่ ฮอร์โมนไทรอกซินช่วยควบคุมการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติทำให้ร่างกายมีไทรอกซินน้อยเกินไป จะทำให้มีร่างกายเตี้ย เล็ก แคระแกรน พูดช้า โตช้า พุงยื่น ปัญญาอ่อน ในผู้ใหญ่มีอาการ บวมที่มือ เท้า ใบหน้า ผิวแห้งตกสะเก็ด ความจำเสื่อม เกิดการอักเสบขึ้นที่บริเวณตอมซึ่งเรียกว่า "โรคคอพอก" นั่นเอง ถ้าไทรอกซินมากไป ร่างกายจะซูบผอม น้ำหนักลด กินจุ อ่อนแอ ตอบสนองสิ่งเร้าไวขึ้น เกิดโรคคอพอกเป็นพิษ

               ๓. ต่อมพาราไทรอยด์(Parathyroid gland)

                              ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความสมดุลของธาตุแคลเซี่ยม และฟอสฟอรัส ในกระแสเลือดให้คงที่

              ๔. ต่อมหมวกไต(Adrenal gland)

                    ลักษณะเป็นก้อนสีเหลืองๆ คล้ายรูปสามเหลี่ยมหรือรูปพระจันทร์เสี้ยว อยู่ส่วนบนของไตทั้ง ๒ ข้าง ข้างละ ๑ ต่อม ผลิตฮอร์โมนอะดรีนะลิน (Adrenalin) เมื่อเวลาเกิดความรู้สึกกลัว ตกใจ หรือ โกรธ ต่อมนี้จะผลิตฮอร์โมนออกมามากกว่าปกติ ทำให้กล้ามเนื้อมีแรงมากขึ้น ผลักดันให้ร่างกายพร้อมที่จะสู้ หรือวิ่งหนี นอกจากนี้ต่อมหมวกไตยังผลิตฮอร์โมนเพศชายมากกว่า ในเพศหญิง ถ้าต่อมนี้ทำงานผิดปกติ จะทำให้เด็กชายมีพัฒนาการทางเพศเร็วขึ้น เด็กหญิงมีลักษณะพัฒนาการทางเพศค่อนไปทางเด็กผู้ชาย

              ๕. ตับอ่อน(Pancreas)

                    เป็นส่วนของต่อมไร้ท่อที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของกระเพาะอาหาร ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ คือ อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด โดยเปลี่ยนกลูโคสให้เป็นไกลโคเจน เก็บไว้ที่ตับ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระดับปกติ ถ้าตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ตามปกติก็จะทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิดเป็นโรคเบาหวาน แต่ถ้าผลิตอินซูลินมากเกินไป ปริมาณน้ำตาลในเลือดจะต่ำกว่าปกติทำให้หิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกมาก พูดจาสับสน เป็นต้น

              ๖. ต่อมเพศ(Gonad gland)

                         ในเพศชายคืออัณฑะ ในเพศหญิงคือรังไข่ อยู่ในช่องท้องส่วนล่างมีหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์และฮอร์โมนที่มีอิทธิพลต่อการควบคุมและพัฒนาการทางเพศ

                   ๖.๑ ต่อมเพศชายหรืออัณฑะ มีหน้าที่ผลิตอสุจิและฮอร์โมนเทสทอสเทอโรน(Testosterone) ควบคุมการเจริญเติบโตของอวัยวะเพศชายและลักษณะทั่วไปของชาย ได้แก่มีหนวดเครา มีขนตามหน้าอก รักแร้ หน้าแข้ง กล้ามเนื้อแข็งแรง การหลั่งอสุจิและพัฒนาการด้านจิตใจ มีความต้องการทางเพศเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น

                    ๖.๒ ต่อมเพศหญิง หรือรังไข่ มีหน้าที่ผลิตไข่ และฮอร์โมนเอสโตรเจน และ โพรเจสเทอโรน (Estrogen and Progesterone) ควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของอวัยวะเพศหญิง ได้แก่ การมีหน้าอก เต้านมโตขึ้น สะโพกขยาย มีขนขึ้นที่รักแร้และอวัยวะเพศ มีการตกไข่และมีประจำเดือน นอกจากนั้น ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำหน้าที่หยุดการตกไข่ไม่ให้ไข่สุกระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการมีประจำเดือนระหว่างตั้งครรภ์

              ๗. ต่อมไพเนียล(Pineal gland)

                    ตั้งอยู่ในสมอง เป็นต่อมเล็กๆ รูปไข่หรือกรวย มีหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ไม่ให้เจริญเติบโตเร็วกว่าปกติ ควบคุมมิให้เด็กมีความรู้สึกทางเพศเร็วเกินไป

              ๘. ต่อมไทมัส(Thymus gland)

                    ตั้งอยู่ในทรวงอกส่วนบน ในเด็กต่อมนี้จะมีขนาดใหญ่ แต่พอโตขึ้นจะเล็กลง และเมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ต่อมนี้จะค่อยๆ หายไป ต่อมนี้ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิกันโรคให้กับร่างกาย อย่างไรก็ตาม การหลั่งของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายต้องผ่านศูนย์ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนไฮโพทาลามัส ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของสมองส่วนล่าง โดยมีเส้นประสาทจำนวนมากจากไฮโพทาลามัส เชื่อมต่อกับสมองและไขสันหลัง อวัยวะนี้เปรียบเสมือนตัวเชื่อมระหว่างระบบประสาทอัตโนมัติและต่อมไร้ท่อ

              ไฮโพทาลามัส เป็นศูนย์กลางควบคุมความรู้สึกหิวกระหาย การหลับและการตื่น และยังมีบทบาทสำคัญในระบบการทำงานที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ รวมถึงการควบคุมระดับอุณหภูมิของร่างกาย ความต้องการทางเพศ การมีรอบเดือนในเพศหญิง และยังควบคุมการทำงานของต่อมพิจูอิทารี ด้วย

การดูแลรักษาระบบต่อมไร้ท่อให้ทำงานตามปกติ ควรปฏิบัติ ดังนี้

          ๑. รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อต่อมไร้ท่อ ได้แก่ อาหารที่มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และไอโอดีน

          ๒. ออกกำลังกายด้วยกิจกรรมที่เหมาะสมกับเพศและวัย

          ๓. พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับให้ครบ ๘ ชั่วโมง

          ๔. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับต่อมไร้ท่อ เช่น การหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด การรับประทานยาที่อาจมีผลกับต่อมไร้ท่อ

          ๕. สังเกตและสำรวจสภาพร่างกายของตนสม่ำเสมอ วัยรุ่นกับการเจริญเติบโตตามเกณฑ์มาตรฐาน

                    1. ภาวะการเจริญเติบโตและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของวัยรุ่น

          การเจริญเติบโตของวัยรุ่นนั้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกบางคนเจริญเติบโตช้า บางคนเจริญเติบโตเร็ว และในขณะที่บางคนก็มีการเจริญเติบโตที่สมวัย

                              1.1 ภาวะการเจริญเติบโตของวัยรุ่น การเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น เป็นผลมาจากการทำงานของฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อ ซึ่งควบคุมกลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตทั้งขนาดและรูปร่าง โดยการเจริญเติบโตที่เราสามารถสังเกตได้นั้น มีดังนี้

                                        1.1.1 มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะน้ำหนักและส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น ทำให้วัยรุ่นจำนวนมากไม่สามารถที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทัน จึงส่งผลให้เกิดความแปรปรวนทางอารมณ์ได้ง่าย

                                        1.1.2 เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ หรือการมีวุฒิภาวะทางเพศ คือ ในวัยรุ่นชายจะมีการเคลื่อนตัวของอสุจิ ที่เรียกว่า "ฝันเปียก" ส่วนในวัยรุ่นหญิงนั้นจะมี "ประจำเดือน" ตลอดจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่บ่งบอกถึงลักษณะเฉพาะของการเป็นเพศหญิง และเพศชาย

                                        1.1.3 เริ่มมีการค้นหาตนเอง โดยมีแรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญ ชอบเก็บตัวอยู่กับบ้าน แต่ชอบรวมกลุ่มเมื่ออยู่กับเพื่อน ซึ่งในวัยรุ่นนี้เพื่อนจะมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตอย่างมาก และในขณะเดียวกันการเชื่อฟัง พ่อแม่ก็ลดน้อยลง

                                        1.1.4 เริ่มมีวิจารณญาณในการคิดและตัดสินใจมากขึ้น สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดี หรืออะไรไม่ดี

                                      1.1.5 ยึดถือตัวเองเป็นสำคัญ มีความคิด ความเข้าใจที่เป็นของตัวเองมากขึ้น มักต่อต้านในสิ่งที่เห็นว่าไม่ยุติธรรม จนทำให้ในบางครั้งเป็นผลทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยกับผู้ใหญ่ขึ้นได้

                              1.2 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของวัยรุ่น การที่วัยรุ่นมีความแตกต่างกันในการเจริญเติบโตและพัฒนาการนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 กลุ่ม ดังนี้

                                   1.2.1 ปัจจัยภายใน หมายถึง ปัจจัยที่มีอยู่แล้วภายในร่างกายของมนุษย์ แล้วส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น ประกอบด้วย

                                                            1) พันธุกรรม เป็นการถ่ายทอดลักษณะเฉพาะต่างๆ จากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลาน ทำให้มนุษย์มีลักษณะบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นพันธุกรรมจึงเป็นเครื่องกำหนดขอบเขต ลักษณะ และความสามารถของบุคคล ซึ่งลักษณะทั่วไปของการถ่ายทอดทาง พันธุกรรม มี 2 ลักษณะ ซึ่งแยกกว่าได้ ดังนี้

                                                            1.1)   ลักษณะทางกาย ได้แก่

                                                                 (1)   สัดส่วนของร่างกาย ความสูงหรือความเตี้ย รูปลักษณะภายนอก เช่น ผมหยิก ตาเล็ก สีของตา สีของผม ผิวขาว-ดำ เป็นต้น

                                                                 (2)   กลุ่มเลือดที่แตกต่างกันไป เช่น A, B, O, และ AB  เป็นต้น

                                                                 (3)   เพศ ซึ่งการเป็นเพศชายหรือเพศหญิงนั้น ขึ้นอยู่กับโตรโมโซมที่ได้รับจากพ่อแม่

                                                                 (4)   ความผิดปกติและโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจาง โรคด่างขาว โรคผิวหนังเกล็ดปลา เป็นต้น

                                                            1.2) ลักษณะทางสติปัญญา พบว่าเด็กที่เกิดในตระกูลที่มีระดับสติปัญญาต่ำ จะมีแนวโน้มของเชาว์ปัญญาที่ต่ำด้วย แต่ก็ไม่เสมอไปทุกราย เนื่องจากพบว่าอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม การกระตุ้น และการเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ของเด็ก จะช่วยทำให้การพัฒนาทางสติปัญญาเพิ่มมากขึ้นได้

                    2) พื้นฐานทางอารมณ์ จิตใจ พบว่าบุคคลที่มีพื้นฐานทางอารมณ์ จิตใจที่มั่นคง จะทำให้มีพัฒนาการทางด้านต่างๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านร่างกาย สังคม บุคลิกภาพหรือสติปัญญา โดยที่อารมณ์นั้นเป็นผลเนื่องมาจากพันธุกรรมและปัจจัยแวดล้อมภายนอกประกอบกัน ดังนั้นวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนต่างๆ ภายในร่างกายค่อนข้างมาก จึงเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการขึ้นลงของอารมณ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากไม่สามารถปรับพื้นฐานทางอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ ก็จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการได้ในที่สุด

                         1.2.2 ปัจจัยภายนอก หมายถึงปัจจัยที่เกิดขึ้นภายนอกร่างกาย ทั้งที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ หรือไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ส่งผลต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของวัยรุ่น

                                        1) การอบรมเลี้ยงดูและสัมพันธภาพภายในครอบครัว เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ของมนุษย์ โดยเริ่มตั้งแต่ในช่วงวัยทารก วัยเด็กจนถึงวัยรุ่น เนื่องจากมีการซึมซับสั่งต่างๆ ที่ได้จากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง และการอยู่ในครอบครัวที่มีการอบรมเลี้ยงดูที่ดี มีความรัก ความเอาใจใส่ และความเข้าใจ ก็จะทำให้เด็กสามารถเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมทั้งวุฒิภาวะทางด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคม รวมถึงการมีบุคลิกภาพที่ดี ตลอดจนมีพัฒนาการที่สมวัย สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อุ่นได้อย่างมีความสุข แต่ถ้าหากครอบครัวขาดการอบรมเลี้ยงดูและมีสัมพันธภาพที่ไม่ดีแล้ว ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การมั่วสุมของวัยรุ่น การเสพสารเสพติด หรือการมีเพศสัมพันธุ์ก่อนวัยอันควร เป็นต้น

                                        2) สภาพแวดล้อมทางสังคม เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ในทุกด้าน หากมนุษย์อาศัยอยู่ในสภาพสังคมที่ดี เอื้ออำนวยต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ก็จะทำให้มีการเจริญเติบโตทางด้านร่างกาย และพัฒนาการทางด้านอารมณ์ สังคม สติปัญญา บุคลิกภาพ และด้านอื่นๆ ดีตามไปด้วย แต่ถ้าต้องเผชิญอยู่ในสภาพแวดสังคมที่ไม่เหมาะสม เช่น อยู่ในชุมชนที่เสื่อมโทรม ครอบครัวแตกแยก ก็จะส่งผลให้การเจริญเติบโตและพัฒนาการด้านต่างๆ ไปได้ไม่ดีเท่าที่ควร

                                        3) อาหารที่บริโภค มีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นนั้น เป็นวัยที่ต้องการสารอาหารต่างๆ ที่ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ และในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อช่วยทำให้ร่างกายและหอวัยวะต่างๆ สามารถเจริญเติบโตได้อย่างสมวัย

                                        4) การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย จะช่วยให้เด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่สมวัย โดยช่วยในการเสริมสร้างกระดูกเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เสริมสร้างจิตใจให้แจ่มใสร่าเริง อันเป็นผลทำให้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีควบคู่กันไป

                                        5) การเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้การเจริญเติบโตและพัฒนาการ ต่างๆ หยุดชะงัก ทั้งในลักษณะชั่วคราว หรือถาวร ซึ่งอาจทำให้เกิดความพิการของร่างกาย เกิดผลกระทบทางอารมณ์ของผู้ป่วย รวมถึงส่งผลกระทบต่อสังคมรอบข้าง โดยวัยรุ่นนับเป็นวัยที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากมีความคึกคะนอง ชอบเสี่ยง ชอบท้าทาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บได้โดยง่าย จึงควรต้องมีความระมัดระวังในการดูแลสุขภาพและสวัสดิ์ภาพของตนเองมากเป็นพิเศษ

          2. เกณฑ์มาตรฐานที่เป็นกราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต

                  เป็นการนำข้อมูลตัวเลขมาแสดงด้วยกราฟ โดยการจุดข้อมูลต่างๆ ลงบนกราฟแล้วเชื่อมโยงข้อมูลแต่ละจุด เพื่อแสดงระดับการเจริญเติบโตและแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณะสุข ได้จัดทำกราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเพศชายและเพศหญิง อายุ 5 - 18 ปี เพื่อใช้ในการประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กวัยเรียนและเด็กวัยรุ่น ดังนี้

                  1. กราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต ของเพศชาย อายุ  5 - 18 ปี เปรียบเทียบน้ำหนักกับส่วนสูง

 

 

                  2. กราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต ของเพศชาย อายุ 5 - 18 ปี เปรียบเทียบส่วนสูงกับอายุ

 

 

                  3. กราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต ของเพศหญิง อายุ 5 - 18 ปี เปรียบเทียบน้ำหนักกับส่วนสูง

 

 

                  4. กราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต ของเพศหญิง อายุ 5 - 18 ปี เปรียบเทียบส่วนสูงกับอายุ

 

 

          จากเกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตทั้งที่เป็นข้อมูลตัวเลข และกราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตดังกล่าวข้างต้น นักเรียนสามารถนำมาใช้ประเมินเพื่อเปรียบเทียบกับ อายุ น้ำหนัก และส่วนสูงของตนเองได้ ซึ่งนักเรียนควรจะประเมินภาวะการเจริญเติบโตของตนเอง ด้วยการซึ่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง การประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางกายมี 3 วิธี ดังนี้

          2.1 การประเมินน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ เป็นการเปรียบเทียบน้ำหนักที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุต่างๆ หากเด็กมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์อายุ ก็จะบ่งชี้ถึงปัญหาการขาดสารอาหารประเภทโปรตีนและพลังงาน ซึ่งมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตโดยรวม

          2.2 การประเมินส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ เป็นการเปรียบเทียบส่วนสูงที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุต่างๆ หากเด็กมีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์อายุ ก็จะบ่งชี้ว่าเด็กมีการขาดสารอาหารอย่างยาวนาน ซึ่งส่วนใหญ่การขาดสารอาหารมักจะมีความสัมพันธ์กับฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวของเด็ก

          2.3 การประเมินน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงในวงการแพทย์ ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) การหาค่าดัชนีมวลกาย

          นอกจากการใช้เกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต เพื่อสำรวจการเจริญเติบโตของตนเองว่าเปลี่ยนไปตามเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ สำหรับผู้ใหญ่อาจสามารถประเมินได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ คำนวณหาค่า ดัชนี มวลกาย (Body mass index : BMI) ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยนำน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลัง 2 เช่น นาย ก. สูง 1.68 เมตร หนัก 68 กก. ค่า BMI เท่ากับ 68/1.682 = 20.24 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

 

 

 

          ซึ่งผู้ที่มีน้ำหนักเกิน มีแนวโน้มว่าจะเกิดความผิดปกติต่อร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน ข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน และในคนที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือผอมมาก ๆ อาจทำให้ภูมิต้านทานโรคต่ำได้

                    3. การส่งเสริมและพัฒนาตนเองให้เจริญเติบโตสมวัย

                         การส่งเสริมและพัฒนาตนเองให้เจริญเติบโตสมวัย เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในแต่ละวัยให้เหมาะสม โดยการปลูกฝังพฤติกรรมการปฏิบัติที่ถูกต้อง ตลอดจนทราบแนวทางการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นนำไปสู่การดำรงชีวิตที่มีความสุข ปัจจัยส่งเสริมและพัฒนาตนเองให้มีการเจริญเติบโตสมวัยที่สำคัญ  ดังนี้

                         3.1 การรู้จักพฤติกรรมของมนุษย์ มนุษย์แต่ละคนแต่ละวัยนั้น ย่อมมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเรียนรู้ ค่านิยม เจตคติ แรงจูงใจ ฯลฯ ต่อพัฒนาการของคนจะช่วยทำให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติและพฤติกรรมที่แสดงต่อกัน ทั้งในพฤติกรรมที่ดีและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น

                         3.2 การรู้จักตนเองและผู้อื่น การรู้จักตนเองและผู้อื่น การเข้าใจตนเอง การยอมรับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การรู้จักปรับปรุงแก้ไข การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น การยกย่องผู้อื่น การพัฒนาบุคลิกภาพ การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่น ตลอดจนยอมรับผู้อื่นได้

                         3.3 การทำงานร่วมกัน การอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข ต้องอาศัยการอยู่ร่วมกัน การรู้จักทำงานร่วมกัน รู้จักสร้างทีมงาน รู้จักขจัดปัญหาความขัดแย้ง การสร้างภาวะผู้นำและผู้ตามที่ดี ซึ่งการฝึกการทำงานร่วมกันตั้งแต่เยาว์วัย นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาตนเองให้อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้แล้วยังเป็นการช่วยพัฒนาบุคคลในสังคมให้เกิดการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้สามารถที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ด้วยสันติวิธีโดยไม่ใช้ความรุนแรง

                         3.4 การพัฒนากายและจิต กายและจิตเป็นสั่งที่สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง แนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาตนเองให้เจริญเติบโตสมวัยนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนากายและจิตคู่กัน ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นต้น

 

 

                    4. สุขบัญญัติแห่งชาติเพื่อการเจริญเติบโตที่สมวัย

                         การมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเราทุกคนควรมีความรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพของตัวเราเอง โดยการมีพฤติกรรมสุขภาพกายที่ถูกต้องรวมทั้งชักชวนให้บุคคลในครอบครัวปฏิบัติให้เป็นกิจนิสัย ทั้งนี้ในการดูแลสุขภาพของบุคคลให้มีการเจริญเติบโตตามเกณฑ์มาตรฐานนั้น รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ เพื่อการมีสุขอนามัยที่ดี ด้วยการประกาศใช้ "สุขบัญญัติแห่งชาติ" ให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปยึดเป็นแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน ตลอดจนเป็นบรรทัดฐานสำหรับการปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง โดยเน้นให้เกดการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

แนวทางในการปฏิบัติตนตามหลักสุขปฏิบัติแห่งชาติ

                    5. ประโยชน์และคุณค่าของสุขบัญญัติแห่งชาติต่อสุขภาพ

                    ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้านั้นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ ประชากรต้องมีสุขภาพดี สุขบัญญัติแห่งชาติก็เป็นแนวทางหนึ่งที่สร้างเสริมปละปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนนำไปปฏิบัติ เพื่อการมีสุขภาพที่ดี ประโยชน์และคุณค่าของสุขบัญญัติแห่งชาติที่มีต่อประชาชนผู้นำไปปฏิบัติ มีดังนี้

                    5.1 สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงให้เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ต่อสุขภาพที่ควรปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

                    5.2 สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพของตนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ

                    5.3 เป็นการสร้างความตระหนัก และการมีจิตสำนึกในการรู้จักพึ่งตนเองทางสุขภาพ

                    5.4 เป็นการปลูกฝังการเรียนรู้ทางสุขภาพอย่างต่อเนื่องในทุกเพศทุกวัย โดยส่งผลให้เกิดพฤติกรรมในการป้องกันโรคภัยไข้ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายอย่างถูกต้องและเหมาะสม

                    5.5 เป็นการเสริมสร้างและปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง นำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีทั้งทางร่างกาย จิตใจ ปัญญา และสังคม